กาญจนบุรี -กรมอุทยานฯ-วัดเสือ ย่องเงียบขนย้ายเสือ 5 ตัว อาศัยช่วงปลอดสื่อเวลากลางคืน แนะ 2 ฝ่ายเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา เหตุเสือโคร่ง 147 ตัว เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินที่ ปชช.คนไทยสามารถรับรู้ได้ หากยังนิ่งเฉยเชื่อคนไทยตำหนิแน่
วันนี้ (29 ม.ค.) แหล่งข่าวที่เชื่อถือได้แจ้งว่า ช่วงค่ำของวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และคณะสัตวแพทย์กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ร่วมกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิวัดป่าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้ยิงยาสลบเสือโคร่ง จำนวน 5 ตัว นำใส่กรงขึ้นรถบรรทุก 6 ล้อ 2 คัน ที่เตรียมเอาไว้เดินทางออกจากวัดป่าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หมู่ 5 ต.สิงห์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี มุ่งหน้านำไปไว้ที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน หรือไม่ก็นำไปไว้ที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้าง จ.ราชบุรีแล้ว
รายงานแจ้งว่า โดยก่อนหน้านั้นเจ้าหน้าที่ทหาร และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลพื้นที่ได้พยายามสอบถามเรื่องการขนย้ายเสือโคร่ง จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบแต่อย่างใด สื่อมวลชนเองก็พยายามโทร.สอบถามจากคณะเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่จากสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 บ้านโป่ง ที่รับผิดชอบดูแลในการขนย้ายเสือโคร่งของกลางทั้ง 147 ตัวโดยตรง
แต่ปรากฏว่า ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดรับสายโทรศัพท์ของสื่อมวลชนแม้แต่นายเดียว อีกทั้งยังพยายามเดินเลี่ยงหนีสื่อมวลชนอยู่ตลอดเวลา ทำให้สื่อมวลชนที่ติดตามไปทำข่าว เสาะแสวงหาข้อเท็จจริงมานำเสนอข่าวให้ประชาชนได้รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวการขนย้ายเสือลำบากมาก ซึ่งสื่อมวลชนที่เดินทางไปทำข่าวก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่า ทำไมกรมอุทยานฯ ที่รับผิดชอบในการขนย้ายเสือของกลางต้องทำกันแบบลับๆ ล่อๆ
รายงานเพิ่มเติมว่า ประมาณเดือนมกราคม 2559 มูลนิธิวัดป่าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ว่า หากมีการขนย้ายเสือ จำนวน 147 ตัวออกจากวัดขอให้กรมอุทยานฯ จ่ายค่าเลี้ยงดูเสือโคร่งของกลางที่ทางมูลนิธิฯ เลี้ยงดูมากว่า 10 ปี เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 147,444,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 บาทต่อปี ศาลชั้นต้นได้โปรดมีคำสั่งรับฟ้องไว้พิจารณา และกำหนดนัดสืบพยานโจทก์ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2559 นี้
แหล่งข่าวที่เชื่อถือได้แจ้งอีกว่า มีข้อตกลงกันระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์ กับมูลนิธิวัดป่าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ว่า ทางมูลนิธิฯ ยินยอมให้กรมอุทยานฯ ขนย้ายเสือโคร่งออกไปทั้งหมด จำนวน 70 ตัว ส่วนที่เหลือ จำนวน 77 ตัว ขอให้ทางมูลนิธิฯ เอาไว้ดูแล เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้ามาชม หารายได้เข้าสู่มูลนิธิฯ โดยจะนำเสือโคร่งไปไว้ที่สวนสัตว์ที่ทางมูลนิธิกำลังก่อสร้างบริเวณที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ
อีกทั้งขณะนี้ประชาชนก็ยังไม่ทราบว่า จำนวนของเสือมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ และมีการฝังไมโครชิปครบทุกตัวแล้วหรือยัง ซึ่งจากการตรวจนับจำนวนเสือที่ผ่านมา พบว่า เสือโคร่งมีทั้งหมด 147 ตัว ณ ขณะนั้น แต่ปัจจุบันเวลาผ่านมาเกือบ 1 ปี คาดว่าจะมีลูกเสือเกิดใหม่อีกเป็นจำนวนมาก และคงยังไม่ได้ขึ้นบัญชีของกลาง
ประชาชนจึงเกิดข้อสงสัยว่า นี่อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งหรือไม่ที่ทำให้การปฏิบัติการขนย้ายเสือต้องทำกันแบบปิดบัง ประกอบกับทางวัดยังคงเดินหน้าปลูกสิ่งก่อสร้างต่างๆ เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่เสือของกลางทั้งหมดจะต้องถูกขนย้ายออกไปภายในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ ข้อตกลงกันระหว่างกรมอุทยานฯ กับมูลนิธิฯ จะเป็นอย่างไร เท็จจริงแค่ไหน ก็ขอให้ทั้ง 2 ฝ่ายทำกันอย่างเปิดเผย เนื่องจากเสือโคร่งทั้ง 147 ตัว ตามบัญชีของกลางเดิมเป็นสมบัติของแผ่นดิน ที่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศจะต้องสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างตรงไปตรงมาได้ เพราะที่ผ่านมา สื่อมวลชนได้พยายามสอบถามข้อเท็จจริงเพื่อนำเสนอข่าว แต่ก็ถูกปฏิเสธมาโดยตลอด
จึงอาจจะเป็นสาเหตุทำให้ข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งข่าวต่างๆ คลาดเคลื่อนได้ และหากทั้ง 2 ฝ่ายเปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา เชื่อว่าประชาชนคนไทยทั้งประเทศคงไม่ตำหนิ หรือด่าทอแต่อย่างใด ซึ่งตรงกันข้าม หากทั้ง 2 ฝ่าย ยังคงตกลงกันแบบลับๆ ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลข้อเท็จจริงให้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศได้รับทราบ เชื่อว่าทั้ง 2 ฝ่าย จะถูกประชาชนคนไทยทั้งประเทศตำหนิ หรือด่าทออย่างแน่นอน