สุรินทร์ - คนชื่อแปลก...เป็นข่าวดังปีที่แล้ว “นายเฮงจ็อบแฮปปี้ไลฟ์ เมคไลฟ์เบสเทอร์” วิ่งโร่ขอเปลี่ยนเป็นชื่อ-นามสกุลเดิมคือ “นายแสน สร้อยสูงเนิน” เหตุเขียนยาก ขณะที่นายอำเภอเมืองบอกชื่อเดิมพ่อแม่ตั้งให้นั้นมีความหมายดีแล้ว
หลังจากผู้สื่อสื่อข่าวประจำ จ.สุรินทร์ ได้นำเสนอข่าวกรณีที่สังคมออนไลน์แชร์ภาพผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์ ที่ระบุชื่อว่า นายเฮงจ็อบแฮปปี้ไลฟ์ เมคไลฟ์เบสเทอร์ อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 74 หมู่ 6 ต.ตาอ็อง อ.เมือง จ.สุรินทร์ จนกลายเป็นที่ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นชื่อ-นามสกุลจริงหรือไม่ ตลอดจนสำนักงานทะเบียนราษฎรจังหวัดสุรินทร์ยินยอมให้ตั้งชื่อหรือเปลี่ยนชื่อได้อย่างไร เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2557 ที่ผ่านมา
โดย ร.ต.ท.ปรีชาชนะ ไหมทอง พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองสุรินทร์ในขณะนั้น เผยว่า ผู้ต้องหารายนี้ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2557 ที่ผ่านมา หลังก่อเหตุลักทรัพย์โทรศัพท์มือถือ iPhone 5s ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น ส่วนชื่อของผู้ต้องหานั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจลงบันทึกจับกุมตามบัตรประชาชน เบื้องต้นแปลกใจเช่นเดียวกัน แต่ผู้ต้องหามีหลักฐานเป็นบัตรประชาชน และเอกสารเปลี่ยนชื่อ จึงลงบันทึกตามข้อเท็จจริง
ล่าสุด เมื่อเร็วๆ นี้นายเฮงจ็อบแฮปปี้ไลฟ์ เมคไลฟ์เบสเทอร์ ได้เดินทางมายังที่ว่าการอำเภอเมืองสุรินทร์เพื่อทำเรื่องขอเปลี่ยนชื่อ/นามสกุล เป็นชื่อ-นามสกุลเดิม คือ “นายแสน สร้อยสูงเนิน” ของตัวเองด้วยความสมัครใจพร้อมกับทำบัตรประชาชนใหม่
ด้านนายสนั่น วรินทราวาท นายอำเภอเมืองสุรินทร์ พอทราบว่านายแสน สร้อยสูงเนิน เดินทางมาที่ว่าการอำเภอเมืองสุรินทร์ จึงเชิญตัวมาพูดคุยด้วยที่ห้องทำงาน โดยที่เจ้าตัวดีใจมากที่ได้พบกับนายอำเภอ และได้รับบัตรประชาชนที่ได้วางไว้ที่โต๊ะหมู่บูชาของพระพุทธรูป เพื่อให้นายแสน สร้อยสูงเนิน รับบัตรประชาชนไปด้วยความเป็นสิริมงคล
พร้อมสอบถามถึงสาเหตุของการเปลี่ยนชื่อ ซึ่งนายแสนให้เหตุผลว่าที่ต้องเปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อเดิมเนื่องจากชื่อที่เปลี่ยนไม่สะดวก ชื่อยาว และเขียนยาก โดยนายอำเภอเมืองสุรินทร์ให้ข้อคิดว่า ชื่อ “แสน” นั้นดีแล้ว เช่น แสนสุข แสนดี แสนสำราญ เป็นชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ แถมพอเปลี่ยนเสร็จยังได้มาพบเจอกับนายอำเภอ ซึ่งเจ้าตัวดีใจมากถึงกับคุกเข่าขอบคุณ และกอดนายอำเภอก่อนลากลับบ้านไป
ขณะที่ทางอำเภอเมืองสุรินทร์ต้องทำหนังสือถึงอธิบดีกรมการปกครองให้ทราบถึงการเปลี่ยนชื่อ-นามสกุลเดิมดังกล่าวอีกด้วย เนื่องจากว่าช่วงที่เป็นกระแสข่าวเมื่อปีที่แล้วนั้น ทางอธิบดีกรมการปกครองได้ให้ทางอำเภอเมืองสุรินทร์ชี้แจงกรณีที่เกิดขึ้นดังกล่าว