xs
xsm
sm
md
lg

รวบเครือข่ายค้ายาบ้ารายใหญ่ 2 คดี ยึดของกลางมูลค่ารวมเฉียด 30 ล้าน พบดัดแปลงรถกระบะซุกซ่อน (ชมคลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - จนท.ตำรวจ ทหาร และ ป.ป.ส. ร่วมแถลงผลงานจับกุมเครือข่ายค้ายาบ้ารายสำคัญ 2 คดี ในพื้นที่เชียงใหม่ รายแรกรวบหนุ่มสันป่าตอง ดัดแปลงรถกระบะซุกซ่อนยาบ้าตบตาด่านสกัด ของกลาง 1 แสนเม็ด มูลค่า 15 ล้านบาท อีกรายจับหนุ่มดอยเต่าผู้ประสานงานค้ายาบ้า ยึดทรัพย์สินหลายรายการ ทั้งทองคำ เงินสด ที่ดิน อาคารพาณิชย์มูลค่ารวมกว่า 11 ล้านบาท



วันนี้ (24 ส.ค.) ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ พล.ต.ต.ประหยัชว์ บุญศรี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และ พล.ต.ต.มนตรี สัมบุณณานนท์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยผู้แทนจากมณฑลทหารบกที่ 33 และสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 5 ร่วมกันแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายค้ายาบ้ารายสำคัญ 2 คดี ผู้ต้องหา 2 คน

โดยคดีแรกผู้ต้องหาคือ นายศุภฤกษ์ เผ่าพันธุ์ อายุ 28 ปี บ้านเลขที่ 595 หมู่ 14 ตำบลยุหว่า อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมของกลางยาบ้า 100,000 เม็ด มูลค่ากว่า 15 ล้านบาท และรถยนต์กระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นสตราด้า สีเทา ทะเบียน ผพ 577 เชียงใหม่ ซึ่งดัดแปลงใต้กระบะให้เป็นช่องลับซุกซ่อนยาเสพติด

ส่วนอีกคดีผู้ต้องหาคือ นายกฤชกร หรือปริยัติ หรือมืด สิงห์ทะ อายุ 26 ปี บ้านเลขที่ 22/2 หมู่ 1 ตำบลบงตัน อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ เครือข่ายค้ายาบ้า โดยได้ยึดทรัพย์เป็นเงินสด กว่า 1 ล้านบาท สร้อยคอทองคำ 4 เส้น น้ำหนักรวม 6 บาท โฉนดที่ดิน 17 ไร่ อาคารพาณิชย์ อาวุธปืน พร้อมกระสุน และรถยนต์ 3 คัน รวมมูลค่ากว่า 11 ล้านบาท

รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เปิดเผยว่า ในส่วนของคดีแรกนั้น สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนภูธรภาค 5 บูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ทหารกองกำลังผาเมือง และมณฑลทหารบกที่ 33 ได้ประสานข้อมูลเกี่ยวกับเครือข่ายขบวนการค้ายาเสพติด พบว่า มีเครือข่ายชนเผ่าที่มีถิ่นอาศัยในพื้นที่ชายแดนติดกับแหล่งผลิตยาเสพติด ได้ลักลอบขนยาเสพติดจากชายแดนเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล

โดยพบรถต้องสงสัยเป็นรถยนต์กระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นสตราด้า สีเทา ทะเบียน ผพ 577 เชียงใหม่ ที่มีลักษณะพิรุธวิ่งผ่านขึ้นเหนือลงใต้บ่อยครั้ง โดยได้มีการติดตามสืบสวน สะกดรอยตามเป็นเวลากว่า 1 ปี แต่ยังไม่สามารถหาหลักฐานจับกุมได้

กระทั่งเมื่อวันที่ 22 ส.ค.58 รถยนต์คันดังกล่าวได้เดินทางกลับมาจากชายแดน ด้านอำเภอฝาง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้แหล่งผลิตยาเสพติด กำลังมุ่งหน้าสู่จังหวัดลำพูน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำด่านตรวจแม่ทา อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน ให้ทำการสกัดจับ กระทั่งสามารถตรวจค้น และพบว่า ใต้กระบะถูกดัดแปลงให้มีช่องลับสามารถซุกซ่อนยาเสพติดได้เป็นจำนวนมาก โดยพบของกลางยาบ้าในช่องลับกว่า 20,000 เม็ด

จากนั้นได้ขยายผลไปตรวจค้นที่คอนโดมิเนียมย่านถนนห้วยแก้ว ในตัวเมืองเชียงใหม่ ที่นายศุภฤกษ์ ได้เช่าไว้เพื่อเป็นจุดพักซ่อนยาเสพติดก่อนจะนำไปส่งยังพื้นที่อื่น โดยจากการตรวจค้นพบยาบ้าอีกจำนวนกว่า 80,000 เม็ด ซุกซ่อนในห้องพักดังกล่าว ขณะที่พบว่าเครือข่าย และผู้สมรู้ร่วมคิดที่เกี่ยวข้องต่อ นายศุภฤกษ์ ต่างไหวตัวทัน และหลบหนีไปได้ ซึ่งจะได้มีการสืบสวนขยายผล และดำเนินคดีต่อนายศุภฤกษ์ และเครือข่ายต่อไป

ส่วนอีกคดีสืบเนื่องจากการขยายผลเครือข่ายผู้ต้องขังคดีค้ายาบ้าเมื่อวันที่ 30 พ.ค.58 ที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัว นายสำลี หรือนก แก้วนิล ชาวจังหวัดกระบี่ พร้อมของกลางยาบ้า 20,000 เม็ด ที่บริเวณถนนสายเชียงใหม่-ฮอด ซึ่งเชื่อว่ามีขบวนการ และผู้ที่เกี่ยวข้องเบื้องหลังอาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ กระทั่งสืบพบตัว นายกฤชกร หรือมืด สิงห์ทะ อายุ 26 ปี ที่เชื่อว่ามีส่วนรู้เห็นต่อ นายสำลี กระทั่งเมื่อวันที่ 22 ส.ค.58 เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำหมายจับเข้าแสดงตัวจับกุม และตรวจค้นที่บ้านพักของนายกฤชกร

โดยจากการตรวจค้นพบอาวุธปืน และเครื่องกระสุนจำนวนมาก รวมทั้งพบเศษกระดาษไขที่มีสัญลักษณ์ Y1 ที่เชื่อว่าเป็นสิ่งที่ใช้บรรจุยาเสพติดบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีดำ จึงได้ทำการยึดทรัพย์สินตาม พ.ร.บ.มาตรการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2554 เช่น เงินสด กว่า 1 ล้านบาท สร้อยคอทองคำ 4 เส้น น้ำหนักรวม 6 บาท โฉนดที่ดิน 17 ไร่ อาคารพาณิชย์ อาวุธปืนพร้อมกระสุน และรถยนต์ 3 คัน รวมมูลค่ากว่า 11 ล้านบาท

ขณะที่ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้ประสานงานการขนถ่ายยาบ้าในพื้นที่ภาคเหนือ โดยได้ดำเนินการติดต่อค้ายาบ้ามาเป็นเวลานาน กระทั่งมีทรัพย์สินจำนวนมาก กระทั่งถูกจับกุมตัวได้ดังกล่าว ซึ่งอย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้มีการสืบสวนขยายผลไปยังเครือข่ายของนายกฤชกร เพื่อจับกุมยึดทรัพย์ และดำเนินคดีต่อผู้ที่เกี่ยวข้องซึ่งเชื่อว่ายังมีอีกจำนวนมาก


กำลังโหลดความคิดเห็น