นครพนม - พ่อ-ลูกชาวนครพนมขับรถเข้าบ้านกลางดึก เจอศพติดใต้ท้องรถกระบะ ที่แท้เป็นศพหนุ่มขับ จยย.ชนท้ายรถโม่ปูน ที่กระเด็นมาติดแหนบล้อหลังของตัวรถ ต้องตระเวนนำส่งคืนจุดเกิดเหตุไกล 20 กม.
ร.ต.ท.อัครพงษ์ เทเวลา ร้อยเวร สภ.เมือง จ.นครพนม เปิดเผยว่า เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา รับแจ้งอุบัติเหตุรถชนกันมีผู้เสียชีวิตบนถนน 4 เลน นครพนม-ธาตุพนม ช่วงบ้านท่าค้อ ต.ท่าค้อ ไปตรวจสอบ พร้อมด้วยแพทย์เวร โรงพยาบาลนครพนม และเจ้าหน้าที่กู้ภัยนครพนม ที่เกิดเหตุฝั่งขาออกตัวเมือง อยู่หน้ารีสอร์ตเรือนเพชรรัตน์ บ้านท่าค้อ หมู่ 3 พบรถ 6 ล้อโม่ปูนอีซูซุ สีขาว ทะเบียน 81-1346 อุดรธานี จอดเสียริมไหล่ทาง ท้ายรถล้อหลังกันชนมีรอยบุบ ข้างรถมีแบตเตอรี่ 2 ลูกวางอยู่ ใกล้กันพบเศษซากรถกระจายเกลื่อนถนน หอยจำนวนมากหล่นเรี่ยราดเต็มพื้น และพบรอยเลือดกองใหญ่
ห่างออกไป 15 เมตร พบรถจักรยานยนต์ฮอนด้า เวฟ สีเขียว ทะเบียน กนก 325 สกลนคร ล้มคว่ำริมคลอง สภาพพังยับเยิน มีนายอุตส่าห์ กอนเมชัย อายุ 61 ปี ชาว ต.โคกหินแฮ่ อ.เรณูนคร จ.นครพนม คนขับรถ 6 ล้อ ยืนรอให้การในที่เกิดเหตุ
ต่อมา กู้ภัยนครพนมและชาวบ้านที่อยู่บริเวณใกล้เคียงที่เกิดเหตุออกค้นหาศพคนขี่รถจักรยานยนต์ ซึ่งคาดว่าอาจถูกรถชนกระเด็นตกลงคลองนานร่วม 1 ชั่วโมง แต่ไม่พบร่าง
กระทั่งมีนายเกรียงไกร อ่อนอินทร์ อายุ 49 ปี อาชีพปลูกผักใน ต.บ้านกลาง ขับรถกระบะอีซูซุ ดีแมคซ์ สีบรอนซ์ ทะเบียน บจ 5180 นครพนม บรรทุกศพท้ายรถมาส่งที่เกิดเหตุ ทราบชื่อผู้ตายคือ นายกำพล ริรัง อายุ 31 ปี ชาวบ้านกุดข้าวปุ้น ต.ขามเฒ่า อ.เมือง จ.นครพนม สภาพศพศีรษะและใบหน้าแหลกเหลว ขาขวาหัก
สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า นายอุตส่าห์ ไปซื้อรถโม่ปูนให้นายจ้างจาก อ.ท่าอุเทน มุ่งหน้ากลับ อ.เรณูนคร ขณะมาถึงที่เกิดเหตุมืดค่ำรถเสียจึงนำแบตเตอรี่มาพ่วงเปิดสัญญาณไฟกะพริบท้ายรถไว้ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมืดมาก กระทั่งได้ยินรถชนท้ายเสียงดังตูม รถยนต์แล่นผ่านไปมา 3-4 คัน ลากรถจักรยานยนต์ของผู้ตายลงข้างทาง
ก่อนที่รถกระบะอีซูซุของนายเกรียงไกร กลับจากไปรับลูกชายที่ บขส.ในตัวเมือง มุ่งหน้าจะกลับบ้าน ขับผ่านที่เกิดเหตุลากศพไปไกลถึงตัวบ้านที่บ้านกลางใหญ่ ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 20 กิโลเมตร โดยไม่รู้ว่าใต้ท้องรถมีอะไร
กระทั่งลูกชายนายเกรียงไกร ก้มดูท้องรถพบว่า มีศพติดท้องรถ โดยที่ขาผู้ตายไปเกี่ยวกับแหนบล้อหลังขวา จึงกู้ศพออกก่อนใส่ท้ายรถมาส่งยังที่เกิดเหตุ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้สอบสวนสาเหตุที่แน่ชัดอีกครั้ง