บุรีรัมย์ - ตร.บุรีรัมย์เรียก 2 สาวพนักงานบัญชีปั๊มน้ำมันชื่อดังที่เข้าแจ้งความว่าเงินและเช็คของบริษัทเกือบ 8 แสนที่จะนำไปเข้าแบงก์หล่นหายระหว่างทางมาสอบปากคำเพิ่ม พร้อมลงพื้นที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดและเส้นทางที่ผู้เสียหายอ้างหลังพบพิรุธหลายอย่าง ขณะเจ้าตัวยันเงินหล่นหายจริง
วันนี้ (22 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.ต.อ.ประจักษ์ คำนาค พนักงานสอบสวน สภ.เมืองบุรีรัมย์ ได้เรียก น.ส.นริศรา หอกขุนทศ อายุ 26 ปี พนักงานบัญชีสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ตั้งอยู่ ต.บ้านยาง อ.เมือง ถนนสายบุรีรัมย์-สตึก และ น.ส.นารินทร์ พรหมประโคน อายุ 26 ปี เพื่อนสาวที่ทำงานอยู่ที่เดียวกัน มาสอบปากคำเพิ่มเติม
หลังจากเมื่อเย็นวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา ทั้ง 2 คนได้เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าเงินสดกว่า 670,000 บาท และเช็คเงินสด รวมทั้งสิ้นเกือบ 800,000 บาท ซึ่งเป็นของบริษัทที่ได้จากการจำหน่ายน้ำมันและก๊าซ NGV พร้อมเอกสารสำคัญที่จะนำไปทำธุรกรรมทางการเงินกับธนาคารกรุงเทพฯ สาขาบุรีรัมย์ ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ โดยได้บรรจุเงินและเอกสารใส่กระเป๋าผ้าแขวนไว้ที่พักเท้าหน้ารถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า มีโอ แต่เกิดหล่นหายระหว่างทาง
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้ลงพื้นที่ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดตามจุดต่างๆ รวมทั้งเส้นทางที่พนักงานทั้งสองให้การว่าได้ใช้เป็นเส้นทางในการเดินทางจากปั๊มน้ำมันไปยังธนาคาร ระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร เนื่องจากยังไม่ปักใจเชื่อว่าเงินจะหล่นหายจริงหรือไม่ ทั้งพบพิรุธหลายอย่าง นอกจากนั้นยังจะได้ตรวจสอบประวัติของพนักงานผู้เสียหาย พฤติกรรมทางการเงิน และสภาพครอบครัว เพื่อหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวด้วย
ขณะที่ น.ส.นริศราเล่าว่า ตนได้ทำงานที่ปั๊มดังกล่าวมา 6 เดือน จะมีพนักงานหมุนเวียนนำเงินไปเข้าธนาคาร 4 คน ซึ่งวันเกิดเหตุเป็นเวรของตนที่จะต้องนำเงินไปเข้าธนาคาร ซึ่งที่ผ่านมาตนก็เคยนำเงินตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงหลักล้านบาท ขับขี่รถจักรยานยนต์ไปเข้าธนาคารเพียงลำพัง แต่ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าว พร้อมยืนยันว่าเงินได้หล่นหายระหว่างทางจริง แต่ไม่รู้ว่าหล่นหายตรงไหนเพราะวันเกิดเหตุตนไม่ได้แวะที่ไหน หลังจากขี่รถออกจากปั๊มก็มุ่งหน้าไปธนาคารเลย โดยใช้เวลาเดินทางประมาณไม่ถึง 20 นาที
ด้าน พ.ต.อ.ไพศาล สุวรรณทา พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ สภ.เมืองบุรีรัมย์ ระบุว่า จากคำให้การของพนักงานปั๊มน้ำมันกรณีเงินหายระหว่างทางนั้น เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการสืบสวนสอบสวนไปตามขั้นตอน แต่ได้ตั้งข้อสังเกตถึงข้อพิรุธหลายอย่าง เช่น เงินสดที่นำมาเป็นยอดเงินจำนวนมากเหตุใดจึงแขวนไว้หน้ารถจักรยานยนต์ และหากกระเป๋าหล่นทำไมไม่รู้สึกตัวหรือไม่สังเกตทั้งที่นั่งมาด้วยกัน 2 คน ซึ่งต้องมีการสืบสวนข้อเท็จจริงตามขั้นตอนอีกครั้ง ทั้งการสอบประวัติการใช้จ่ายเงิน สอบถามเพื่อนร่วมงาน รวมถึงสภาพครอบครัว เพื่อหาข้อมูลและข้อเท็จจริงว่าเงินได้หายไปจริงตามที่แจ้งความหรือไม่
“หากเงินหายจริงแล้วผู้เก็บได้แต่ไม่เอามาคืน กลับนำเงินไปใช้ หากสามารถติดตามจับกุมได้ภายหลังก็จะถูกดำเนินคดีข้อหายักยอกทรัพย์ แต่หากเงินไม่ได้หายจริงจะต้องสืบสวนหาข้อเท็จจริงอีกครั้งว่าเกิดจากประเด็นอื่นหรือไม่อย่างไร” พ.ต.อ.ไพศาลกล่าว