เพชรบุรี - ตำรวจเมืองเพชรบุรี บุกรวบพระสงฆ์ผู้ต้องหาฆ่าคนตายคาผ้าเหลือง ผู้ต้องหาสารภาพทำจริงเหตุมีปากเสียงกันหลังถูกผู้ตายตามทวงหนี้ค่าพนันบอล ก่อนคุมตัวไปสึกนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ
เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้ (18 ก.ย.) พ.ต.อ.วิฑูรย์ พละสาร ผกก.สภ.เมืองเพชรบุรี พ.ต.ท.สำเริง ชันแสง รอง ผกก.สส.สภ.เมืองเพชรบุรี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนกว่า 20 นาย ได้นำตัวนายอนุสรณ์ สุวรรณสี หรืออุ๊ อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 35/1 หมู่ 5 ตำบลบ้านกุ่ม อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งอยู่ในคราบของพระสงฆ์ ผู้ต้องหาที่ลงมือก่อเหตุฆ่านายเฉลิมพล ถวิลสุข หรือโจ๊ก อายุ 28 ปี ชาวตำบลโพไร่หวาน อำเภอเมืองเพชรบุรี เมื่อคืนวันที่ 16 ก.ย.57 ที่ผ่านมา
โดยวันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัว นายอนุสรณ์ ไปทำการสึกจากการเป็นพระสงฆ์ที่วัดแห่งหนึ่ง โดยขณะที่ก่อเหตุ นายอนุสรณ์ ก็ยังอยู่ในสมณเพศ หลังจากนั้นได้นำตัว นายอนุสรณ์ ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ พร้อมทั้งได้พาไปชี้จุดที่ทิ้งอาวุธที่ใช้ในการก่อเหตุ
โดยมีประชาชน และญาติๆ ในละแวกใกล้เคียงที่ทราบข่าวต่างเดินทางมาดูการทำแผนของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นจำนวนมาก โดยมีตำรวจคอยคุ้มกันตัว นายอนุสรณ์ อย่างเข้มงวด เพราะเกรงว่าญาติของผู้เสียชีวิตจะเกิดอาการไม่พอใจ และอาจทำร้ายผู้ต้องหาได้ และยังได้ประสานขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิสว่างสรรเพชญธรรมสถานจังหวัดเพชรบุรี มาค้นหาอาวุธที่ใช้ในการก่อเหตุบริเวณคลองน้ำข้างสถานที่เกิดเหตุ เพราะ นายอนุสรณ์ ได้อ้างว่าหลังจากก่อเหตุได้โยนกรรไกรที่ใช้ก่อเหตุทิ้งลงไปในน้ำ
จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบว่า วันเกิดเหตุผู้เสียชีวิตได้เดินทางไปหาผู้ก่อเหตุที่วัดแห่งหนึ่งในพื้นที่เมืองเพชรบุรี และผู้ก่อเหตุได้นั่งรถออกมากับผู้เสียชีวิต มายังจุดที่เกิดเหตุ และเกิดปากเสียงกัน โดยผู้ก่อเหตุได้ติดหนี้พนันบอลผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่ง และก่อนเกิดเหตุอาจจะมีการทวงเงินทำให้เกิดปากเสียงกัน และลงมือฆ่าเพื่อล้างหนี้ที่ติดค้างอยู่
ทั้งนี้ ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า เป็นคนลงมือฆ่าจริง โดยใช้ไม้ตีเข้าที่ท้ายทอย 1 ครั้ง และตีซ้ำที่ด้านหน้าอีก 1 ครั้ง จนนายเฉลิมพล ล้มลงก่อนจะใช้กรรไกรที่พกติดตัวมาแทงซ้ำจนเสียชีวิต และโทรศัพท์ให้เด็กวัดมารับกลับไปจำวัดตามปกติ
ด้านนางลิ้นจี่ แย้มนิล อายุ 54 ปี มาดาของผู้เสียชีวิตเผยว่า เมื่อวันที่เกิดเหตุ นายเฉลิมพล ผู้เสียชีวิตได้ลางานเพื่อเตรียมตัวเกี่ยวกับงานแต่งงานของตนที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ และยังได้ขอเงินจากทางบ้านจำนวนหนึ่งเพื่อจะนำมาซื้อแหวนหมั้น โดยเมื่อช่วงเวลาประมาณ 21.30 น. ของคืนเกิดเหตุ ได้มีคนมาแจ้งว่าลูกชายตนเสียชีวิตแล้ว จึงรีบมาดูที่เกิดเหตุปรากฏว่า เป็นลูกชายของตัวเองจริงๆ โดยตนรู้สึกตกใจมาก ไม่คิดว่าลูกชายจะต้องมาเสียชีวิตเพราะจะถึงเวลาแต่งงานในเดือนหน้าอยู่แล้ว ส่วนเงินที่ผู้เสียชีวิตนำติดตัวมาก็ยังอยู่ครบ