ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - จนท.ป่าไม้ สนธิกำลังทหาร ตำรวจบุก 4 รีสอร์ตตรวจสอบการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนใกล้ “ม่อนแจ่ม” แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศชื่อดังของเชียงใหม่ หลังได้รับการร้องเรียนว่า มีชาวบ้านที่ได้สิทธิทำกินขายให้นายทุนผุดรีสอร์ตหรู เบื้องต้นพบ 2 แห่งไม่มีเอกสารแสดงสิทธิ์
วันนี้ (28 ก.ค.) นายสุเทพ ปวเรศวิทยาฬาร ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 (เชียงใหม่) เจ้าหน้าที่สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 (เชียงใหม่) สนธิกำลังเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ทหาร ตำรวจ สภ.แม่ริม และ อส. เข้าตรวจสอบรีสอร์ตที่ก่อสร้างบุกรุกพื้นที่ป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ อ.แม่ริม ตามที่ได้รับร้องเรียนว่ามีการก่อสร้างรีสอร์ตโดยไม่มีเอกสารสิทธิที่ดิน และใช้ที่ดินผิดวัตถุประสงค์
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่มีเป้าหมายตรวจสอบ 10 แห่ง แต่เบื้องต้นเข้าตรวจสอบได้ 4 แห่ง คือ ม่อนม่วน ม่อนหนาว ม่อนหวาย (บ้านสวนศรีวิไล) และม่อนบอยฟ้า ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับม่อนแจ่ม แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัด
โดยจากการตรวจสอบจุดแรกที่ม่อนม่วน ผู้ครอบครองนำเอกสารสิทธิเป็นโฉนดที่ดิน 3 งาน 35 ตารางวา มาแสดง ขณะที่รีสอร์ตม่อนบอยฟ้า ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับม่อนแจ่ม ผู้ครอบครองอ้างว่ามีสิทธิ์ตามมติ ครม.วันที่ 30 มิถุนายน 2541
ส่วนรีสอร์ตม่อนหนาว พื้นที่ประมาณ 2 ไร่ และม่อนหวาย พื้นที่ประมาณ 4 ไร่ ไม่มีเอกสารสิทธิ มีเพียงเอกสารการซื้อขายเท่านั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่จะดำเนินคดีต่อผู้บุกรุกป่าเพื่อสร้างรีสอร์ตม่อนหนาว และม่อนหวาย ข้อหาครอบครองพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและครอบครองป่า ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484
ส่วนม่อนม่วน และม่อนบอยฟ้า จะตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิว่าถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากทางโครงการหลวงได้ขอใช้ที่ดินในเขตป่าสงวนเพื่อทำประโยชน์ประมาณ 13,000 ไร่ ในปี 2517 แต่ปรากฏว่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่ได้นำที่ดินไปขายต่อให้นายทุน และนำที่ดินมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดยเฉพาะหลังโครงการหลวงพัฒนาม่อนแจ่มเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ จนได้รับความนิยมเพราะอยู่ในพื้นที่ป่าต้นน้ำ อุณหภูมิหนาวเย็นตลอดทั้งปี จึงมีรีสอร์ตของเอกชนผุดขึ้นจำนวนมาก
โดยนายสุเทพกล่าวว่า พื้นที่ซึ่งเข้าตรวจสอบครั้งนี้เป็นป่าสงวนแห่งชาติ มีความลาดชันสูง ซึ่งมีหลักฐานภาพถ่ายที่ชัดเจนว่าเป็นป่าสงวน แต่พบว่ามีการออกโฉนดที่ดิน จึงต้องตรวจสอบว่าได้มาถูกต้องหรือไม่ ส่วนรีสอร์ตอีก 6 แห่งจะเร่งตรวจสอบเพื่อป้องปรามไม่ให้มีการบุกรุกเพิ่ม หรือทำประโยชน์อื่นนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด
สำหรับพื้นที่ที่เพ่งเล็งเป็นพิเศษ คือ ที่ดินที่ถูกนำมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ ไม่ได้ทำการเกษตร หรือไม่ใช่เกษตรกร จะต้องตรวจสอบให้ชัดเจน ส่วนขั้นตอนต่อไปหลังตรวจสอบแล้ว ถ้าพบว่าทำไม่ถูกต้องจะต้องเร่งแก้ไข แต่หากไม่มีเอกสารสิทธิก็จะยึดคืนทันที