อุบลราชธานี - การซื้อขายวัสดุการเกษตร-ปุ๋ยนาข้าวในเมืองอุบลยังไม่คึกคักเท่าไหร่ เหตุในพื้นที่ปริมาณฝนยังน้อย เกษตรกรยังไม่ได้ลงมือทำนารอบใหม่ ทั้งชาวนาได้เงินจากจำนำข้าวไม่ครบ แต่คาดนับแต่เดือนหน้าธุรกิจเกษตรจะเฟื่อง ด้านนักธุรกิจชี้หลังจ่ายเงินจำนำข้าวเงินสะพัดในตลาดเพิ่มมากขึ้น
วันนี้ (30 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการจับจ่ายซื้ออุปกรณ์การเกษตรที่ตลาดเทศบาลเมืองวารินชำราบ จ.อุบลราชธานี หลังชาวนาได้รับเงินค่าข้าวจากโครงการรับจำนำ ว่า เจ้าของร้านขายอุปกรณ์หรือวัสดุเกี่ยวกับการเกษตรหลายรายระบุตรงกันว่า ในห้วงหลายวันที่ผ่านมาได้มีพี่น้องชาวนาเริ่มเข้ามาสั่งซื้อปุ๋ย และอุปกรณ์เครื่องมือทำเกษตรบ้างแล้ว เพื่อเตรียมทำนาปีรอบใหม่ แต่ยังถือว่าไม่คึกคักเท่าที่ควร เพราะในช่วงนี้ยังไม่มีฝนตกลงมา
นอกจากนี้อาจเป็นเพราะชาวนาที่เข้าโครงการรับจำนำยังได้รับเงินกันไม่ครบ ได้รับเงินเป็นบางส่วนเท่านั้น แต่คาดว่านับแต่เดือนมิถุนายนนี้เป็นต้นไปเมื่อได้รับเงินจำนำข้าวครบทุกรายแล้ว การซื้อขายปุ๋ยเคมีหรืออุปกรณ์การเกษตรน่าจะคึกคักมากขึ้น
ขณะที่นายประชา กิจตรงศิริ รองประธานหอการค้าจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า เงินค่าจำนำข้าวของจังหวัดเมื่อรวมกันทั้งหมดแล้วน่าจะอยู่ที่ประมาณ 6 พันล้านบาท ด้วยยอดเงินดังกล่าวกับขนาดเศรษฐกิจของจังหวัดถือเป็นเงินจำนวนมหาศาล
จึงน่าจะเป็นผลดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของจังหวัดที่ได้รับผลกระทบมานานกว่า 1 ปี เพราะชาวนาจะนำเงินที่ได้ไปใช้จ่ายเป็นค่าปุ๋ย ค่าอุปกรณ์การผลิตในฤดูกาลต่อไป
ส่วนภาคธุรกิจก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ รถจักรยานยนต์ยังคงซบเซาต่อไปถึงปีหน้า สิ่งที่ คสช.ต้องรีบทำคือ การใช้จ่ายเงินของภาครัฐ ทั้งโครงการจัดซื้อจัดจ้างที่ได้มีการลงนามไว้แล้ว เพื่อใช้เป็นตัวกระตุ้นการใช้จ่ายในภาพรวมทั้งประเทศ
“การกระตุ้นเศรษฐกิจฐานล่าง อาจมีโครงการเหมือนการจ่ายเช็คช่วยชาติ หรือโครงการจ้างทำงานแบบมิยาซาว่า หรือจ้างคนตกงานให้ทำหน้าที่สำรวจโครงการต่างๆ เพราะเงินจะกระจายลงมาสู่การใช้จ่ายของคนระดับล่าง แล้วกระจายต่อไปยังกลุ่มเศรษฐกิจในจังหวัดจากการใช้จ่ายเงินดังกล่าว” นายประชากล่าว