ศูนย์ข่าวศรีราชา - เผยผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ และการเมืองปี 2556 ฉุดผลการดำเนินงานของโรงพยาบาลเอกชนทั่วประเทศ ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดย รพ.สมิติเวชศรีราชา โตเพียง 11% จากเป้า 12% ผอ.ชี้จุดเด่นปี 57 ชูขีดความสามารถในการผ่าตัด และรักษาโรคหายยาก พร้อมดึงไฮเทคโนโลยีใช้ในการรักษา ดึงคนไข้ในชลบุรี และภาคตะวันออกชะลอการเดินทางรักษาตัวในกรุงเทพฯ
นพ.นพดล นพคุณ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมิติเวชศรีราชา จ.ชลบุรี เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของโรงพยาบาลในปี 2556 ว่า แม้ยอดคนไข้จะเพิ่มขึ้น ทั้งชาวไทย ต่างชาติ และชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาอาศัยอยู่มากขึ้น แต่ในแง่เศรษฐกิจกลับพบว่า ผลประกอบการต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งก็เป็นไปตามภาพรวมผลประกอบการของโรงพยาบาลเอกชนทั่วประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ และปัญหาทางการเมือง ที่ทำให้กลุ่มคนไข้ชะลอการรักษาในแง่การเจ็บป่วยที่ไม่รุนแรง และเข้าใช้บริการของโรงพยาบาลรัฐในแง่การรักษาที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด หรือการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูง
“ปัจจัยที่ทำให้ภาพรวมการดำเนินงานของโรงพยาบาลเอกชนทั่วประเทศลดลง เพราะผลจากการส่งออกของไทยที่ลดลง จากความไม่มั่นใจในสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศคู่ค้า และย่อมมีผลกระทบต่อรายได้ของประชาชนในส่วนต่างๆ ที่จำเป็นต้องประหยัดค่าใช้จ่ายให้มากที่สุด”
โดยในปี 2556 โรงพยาบาลสมิติเวชศรีราชา เติบโตทางธุรกิจเพียง 11% กล่าวคือ มีรายได้ 1,580 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 100 ล้านบาท แต่ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 12% ดังนั้นในปี 2557 โรงพยาบาลสมิติเวชศรีราชา มีเป้าหมายที่จะดึงกลุ่มคนไข้ในภาคตะวันออก ที่เดินทางเข้ารักษาในกรุงเทพฯ ให้หันมาใช้บริการกับเรา เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และชูจุดเด่นขีดความสามารถในการส่งต่อคนไข้ เครื่องมือที่ทันสมัย สร้างความมั่นใจว่าโรงพยาบาลของเราก็สามารถดูแลคนไข้ได้ดีเช่นกัน
นพ.นพดล กล่าวว่า แม้ปัญหาทางการเมืองของไทยจะยังไม่มีแนวโน้มยุติลงง่ายๆ แต่สิ่งที่ทำให้แปลกใจ คือ ยอดคนไข้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2557 กลับเติบโตขึ้น ซึ่งก็อาจเป็นเพราะสถานการณ์การชุมนุมในกรุงเทพฯ ที่ทำให้คนไข้ในพื้นที่ชะลอการเข้ารับการรักษาในกรุงเทพฯ ประกอบกับในช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ ทำให้มีการเข้ารับการรักษามากขึ้น
“ปัญหาทางการเมืองไม่ได้มีผลกระทบต่อธุรกิจสถานพยาบาล แต่เป็นเพราะการเดินทางที่ลำบากขึ้น ทำให้คนไข้หันเข้าใช้บริการในโรงพยาบาลใกล้บ้าน ดังนั้น ในปีนี้เราจึงชูจุดเด่นด้านการรักษาโรคที่หายยาก ซึ่งเรามีความพร้อมด้านบุคลากร รวมทั้งขีดความสามารถในการรักษาโรคเฉพาะทาง เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด ฯลฯ ที่ขณะนี้เราสามารถทำการผ่าตัดให้คนไข้มีแผลเล็ก และหายง่าย ที่สำคัญเรายังนำไฮเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการรักษา และยังจะเปิดตัวแอปพลิเคชันที่ทำให้คนไข้เข้าถึงเราง่ายขึ้น เช่นเดียวกับการเตรียมเปิด Japanese Medical Center เพื่อรองรับกลุ่มคนไข้ญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน”