xs
xsm
sm
md
lg

เปิดบันทึกชีวิต “น้องฟิ๊ก-น้องขิม” 2 เหยื่อสังเวย ปชต.“ปู”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หน้าร้านบะหมี่ จุดที่คนร้ายปาระเบิดและกราดยิงเข้ามา โดยไม่สนใจว่า จะมีเด็ก ๆที่ไม่รู้เรื่องความขัดแย้งทางการเมืองของผู้ใหญ่อยู่ด้วยหรือไม่
หากนับสถิติอย่างไม่เป็นทางการแล้ว วิกฤตการเมืองห้วงปี 56-57 มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ต้องเสียเลือดเสียเนื้อแล้ว 686 ราย รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต 16 ราย ไม่รวมคนที่ต้องสูญเสียทรัพย์สิน และความเสียหายทางเศรษฐกิจอีกมหาศาล

ในกลุ่มผู้สูญเสีย มีทั้งผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมกับ กปปส. และผู้ที่ไม่มีส่วนรู้เห็น หรือเกี่ยวข้อง ตลอดจนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง “นาย” ที่เลือกข้างแล้ว

รวมถึง 2 หนูน้อยไร้เดียงสา ที่จ.ตราด ที่ต้องสังเวยชีวิตบริสุทธิ์ ด้วยวัยเพียง 5 ขวบเท่านั้น !!

เมื่อกลุ่มคนลึกลับ ใช้อาวุธปืน 11 มม.-ลูกซอง และระเบิด ถล่มเวที กปปส.ที่จัดขึ้นที่ตลาดยิ่งเจริญ อ.แสนตุ้ง จ.ตราด เมื่อคืนวันที่ 22 ก.พ.57 ที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากจะทำให้ชาวเมืองตราด ที่เข้าร่วมในเวทีดังกล่าว และคนที่อยู่ใกล้เคียง ได้รับบาดเจ็บมากถึง 35 รายแล้ว ยังทำให้ “น้องฟิ๊ก-น้องขิม” 2 หนูน้อยต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับด้วย

“น้องฟิ๊ก” หรือ ด.ญ.ฬิฬาวัลย์ พรหมชัย วัย 5 ขวบ นักเรียนชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนชุมชนวัดแสนตุ้ง เป็นสมาชิกตัวน้อย ที่อยู่ภายในบ้านของยายทวดสาคร อุยหาญ ซึ่งมีสมาชิกที่พักอาศัยอยู่รวม 10 ชีวิต และต้องได้รับผลกระทบจากเหตุรุนแรงครั้งนี้ถึง 7 คนด้วยกัน

เย็นวันนั้น..ยายทวดสาคร ได้เดินไปรับ “น้องฟิ๊ก” ที่ร้านอาหารตามสั่งที่นางสุภภรณ์ พรหมชัย ผู้แม่ของน้องฟิ๊ก ทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ ก่อนพาเดินผ่านตลาดแสนตุ้งกลับบ้าน

จากนั้น ยายทวดสาคร ก็พาน้องฟิ๊ก เดินไปไปหานายนคร บุญชู ผู้เป็นลุงที่ขายเครปอยู่หน้าตลาดยิ่งเจริญ และทำเครปให้หลานสาวตัวน้อยกิน 1 อัน ก่อนที่ยายทวด กับเหลน จะพากันเดินแวะหานายสมคิด บุญชู ผู้ที่ “น้องฟิ๊ก” เรียกว่า ตา ซึ่งขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ไม่ห่างจากจุดที่มีการตั้งเวทีของ กปปส.มากนัก

ยายทวดสาคร บอกว่า ตอนนั้นตั้งใจว่าจะนั่งกินก๋วยเตี๋ยว และอยู่พูดคุยสักพัก ก็จะพากันเดินกลับบ้าน แต่วันนั้นเห็นมีลูกค้ามาก เพราะมีการจัดเวทีใกล้ ๆ หลานสาว (ลูกของนายสมคิด) ต้องล้างชามก๋วยเตี๋ยวกองโตอยู่คนเดียว จึงเข้าไปช่วยล้างชาม โดยมีน้องฟิ๊ก นั่งเล่นอยู่ข้างๆ
“น้องฟิ๊ก” แก้วตาดวงใจของพ่อแม่ หนึ่งในเหยื่อของความรุนแรง เวทีกปปส.ตราด
แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น จนทำให้ “น้องฟิ๊ก” ต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ

เพียงเพราะครอบครัวนี้ เห็นว่า มีการจัดเวทีทางการขึ้นบริเวณใกล้ๆ กับร้านก๋วยเตี๋ยวที่คนในครอบครัวขายอยู่ จึงพากันเอาข้าวของมาขาย และช่วยกันคนละไม้ละมือ เนื่องจากคิดว่า มีคนเยอะ น่าจะขายได้ดี

นายนคร บุญชู ซึ่งเป็นลุงของน้องฟิ๊ก และอยู่ในเหตุการณ์ บอกว่า น้องฟิ๊ก จะอาศัยอยู่กับแม่ ที่หย่ากับสามีมานาน 3 ปี และยายทวดสาคร ทุกวันตอนเช้า แม่น้องฟิ๊ก จะพากันเดินจากบ้านไปโรงเรียนที่อยู่ห่างไปประมาณ 1 กิโลเมตรทุกเย็น ตกเย็น ก็จะมารับไปอยู่ที่ร้านอาหารตามสั่งที่เขาทำงานอยู่ แล้วยายทวด ก็จะเดินมารับกลับบ้าน เป็นอย่างนี้ทุกวัน**

“น้องฟิ๊กก็เหมือนเด็กทั่วไป เล่น ซน สนุกสนาน ทุกวันตอนเย็น ยายทวด ก็จะพาน้องฟิ๊กเดินผ่านตนเองที่ขายเครปอยู่หน้าตลาดแสนตุ้ง ตนก็จะทำเครปให้หลานกิน แล้วยายทวด ก็จะพาเดินกลับบ้าน แต่จะแวะที่ร้านชายสี่บะหมี่เกี๊ยวพ่อผม (นายสมคิด บุญชู) ก่อนเป็นประจำ และก็จะกลับไม่ดึกมาก”

แต่วันเกิดเหตุ ยายทวดสาคร เห็นว่าที่ร้านพ่อ ขายก๋วยเตี๋ยวได้ดี และเห็นว่า ชามก๋วยเตี๋ยวเยอะมาก จึงอยู่ช่วยล้างจาน ส่วนน้องฟิ๊ก ก็เล่นอยู่กับลูกชายของตน แต่โชคดีที่พ่อตน อุ้มลูกชายของตนไปที่อื่น จึงไม่ได้รับบาดเจ็บ

“วันนั้น พวกผมดีใจมาก ที่มีคนมาเยอะ เพราะคิดว่าต้องขายของได้ดีกว่าทุกวันแน่นอน จากที่ขายเครปที่หน้าตลาด ผมนำรถมาขายเครปอยู่ใกล้ ๆ กับร้ายก๋วยเตี๋ยวของพ่อ น้องสาว ก็ขายบัวลอยไข่หวาน ซึ่งวันนั้นก็ขายดีจริง ๆ เพราะทุกคนแทบจะไม่ได้หยุด แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงกับครอบครัวของเราเลย”

นายนิพนธ์ พรหมชัย ผู้เป็นพ่อน้องฟิ๊ก กล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความเสียหายกับครอบครัวตนมาก เพราะมีญาติพี่น้องเจ็บถึง 7 คน และลูกสาว ต้องเสียชีวิตทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่ต้องมาสังเวยกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

"ลูกผมผิดอะไรที่ต้องมาฆ่าและเสียชีวิตอย่างไม่สมเหตุสมผล ผมต้องสูญเสียลูกและครอบครัวได้รับบาดเจ็บ จึงขอประณามคนร้ายที่ฆ่าลูกผม และขอให้ตายไปพร้อมกัน"

นางสยุมภู การศรีทอง ครูประจำชั้น อนุบาล 2 โรงเรียนชุมชนวัดแสนตุ้ง ต.แสนตุ้ง อ.เขาสมิง จ.ตราด ได้กล่าวถึงน้องฟิ๊ก ที่เป็นนักเรียนในความดูแล ว่า น้องฟิ๊ก มีนิสัยร่าเริง ชอบแสดงออกตามประสาเด็กๆ ทั่วไป รูปร่างเล็กกว่าเพื่อนในชั้น การเรียนก็อยู่ในระดับปานกลาง และเขาจะติดคุณครูมาก

น้องฟิ๊ก เป็นนักเรียนคนเดียวในห้องเรียนที่มีเบอร์ของคุณครู โดยแม่ของน้องฟิ๊ก จะโทรติดต่อ หรือบอกให้ทราบทุกครั้งที่น้องฟิ๊ก ไม่ได้มาโรงเรียนหรือมีปัญหาอื่นๆ

ครูสยุมภู บอกอีกว่า ครอบครัวน้องฟิ๊ก น่าสงสารมาก ทุกๆ วัน แม่ของน้องฟิกจะพากันเดินจากบ้าน มาส่งที่โรงเรียน เย็นก็จะมารับไปอยู่ที่ร้านอาหารที่แม่รับจ้างทำงานอยู่ แล้วยายทวด ก็จะเดินมารับกลับบ้าน
“น้องขิม” จากไปอย่างสงบ   สร้างความโศรกเศร้าและเจ็บปวดให้แก่พ่อแม่ และครอบครัว
“แม่น้องฟิ๊กโทรศัพท์ มาหาและบอกว่า คุณครู น้องฟิ๊กไปสบายแล้วนะ แล้วก็เล่าเรื่องให้ฟัง ตนเองก็รู้สึกเสียใจ และตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เรื่องแบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้นเลย มันรุนแรงมากเกินไป ทำไมเหตุการณ์ร้ายแรงแบบนี้มาเกิดกับเด็กที่ไม่รู้เรื่อง”

 “น้องขิม” หรือ ด.ญ.ณัฐชยา รอสูงเนิน เหยื่อเหตุระเบิด-กราดยิงเวที กปปส.ตราด รายที่ 2 ซึ่งถูกยิงด้วยอาวุธปืนเข้าศีรษะ ในคืนวันเดียวกัน แม้จะถูกนำตัวส่งเข้ารักษาที่โรงพยาบาลจังหวัดระยอง ในเวลาต่อมา แต่สุดท้ายแพทย์ ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ จนเสียชีวิตไปเมื่อ 25 ก.พ.57 ที่ผ่านมานั้น

ย่าละไม รอสูงเนิน ผู้เป็นย่าน้องขิม เล่าทั้งน้ำตา ว่า เสียใจมากที่ต้องสูญเสียหลานสาวไป เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันมาก วันนั้น ตนพาน้องขิม เดินทางไปจันทบุรี พร้อมญาติพี่น้อง ขากลับ ก็ได้ไปร่วมเวที กปปส.ที่จัดขึ้นที่ตลาดยิ่งเจริญ กระทั่งเกือบ 3 ทุ่มจึงพาน้องขิม ไปกินก๋วยเตี๋ยว โดยตนเองก็ไปนั่งกินด้วย

“ตอนนั้นมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ตนได้ยินเสียงปืนดังมาก และก็มีความชุลมุนเกิดขึ้น พอสิ้นเสียง ก็พบหลานสาวได้รับบาดเจ็บนอนอยู่ ส่วนตัวเองถูกสะเก็ด เจ็บเล็กน้อย จึงร้องให้คนช่วยพากันไปส่งโรงพยาบาล”

ย่าละไม บอกว่าน้องขิม ยังไม่ได้เข้าเรียน เพราะเขาไปอยู่กับพ่อที่ต่างจังหวัด เพิ่งกลับมา คิดไว้แล้วว่า เทอมหน้าจะพาไปฝากเข้าเรียน แต่ก็มาจากไปเสียก่อน

ย่าละไม เล่าย้ำด้วยความเสียใจ ว่า วันนั้น ถ้าตนไม่ได้ไปจันทบุรี พร้อมญาติ และน้องขิม ก็จะเดินทางมาที่เวทีเพียงคนเดียว หลานสาวคงไม่ตาย ต่อไปนี้ถ้าจะไปชุมนุม หรือไปร่วมกิจกรรมจะไม่พาหลานไปด้วยอีกแล้ว หรือบางทีก็อาจจะไม่ไปร่วมแล้ว เพราะกลัวจะเกิดความรุนแรงขึ้นอีก

“ตลอดเวลาที่น้องขิม นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลระยอง ทุกคนไม่ต้องการให้น้องขิมตาย หมอบอกถ้าผ่าตัดน้องขิม ก็จะอยู่ได้แค่ 2 วัน ครอบครัวจึงขอให้น้องขิม สิ้นลมไปเอง และรอว่าอาจจะมีปาฏิหาริย์ จนเมื่อ 25 ที่ผ่านมา น้องขิมก็จากไปโดยที่ไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น”

ขณะที่ นายสุทธิ กาญจนสมบัติ สท.ต.บ่อพลอย อ.บ่อไร่ จ.ตราด เล่าว่า บ้านอยู่ใกล้กันเคยเล่นกับน้องขิม เป็นประจำ รู้สึกรักและผูกพันกับน้องขิม มาก วันที่ไปรับศพน้องขิม กลับบ้าน ตนก็ร่วมเดินทางไปด้วย รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเด็กที่ไม่รู้เรื่องต้องมาเสียชีวิต

“ฝากบอกตำรวจด้วย ให้เร่งติดตามคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว อย่ามัวแต่พูดว่าคดีนี้มีความคืบหน้าอย่างเดียว”

นายอเนก รอสูงเนิน พ่อน้องขิม กล่าวด้วยน้ำตาที่ไหลพราก ว่า เสียใจมากกับการจากไปของลูกสาว วันเกิดเหตุผมไม่ได้ไปด้วยเพราะทำงาน ส่วนน้องขิม เขาจะติดย่ามาก ย่าไปไหนน้องขิม ก็จะไปด้วย วันนั้นพอรับโทรศัพท์ว่า ลูกถูกยิง ผมรีบไปที่โรงพยาบาล เห็นสภาพของลูกแล้ว ผมแทบทนไม่ได้ ช็อกไปชั่วขณะ

“จนถึงวันนี้ผมพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เพราะเสียใจมาก คนร้ายใจคอโหดเหี้ยมมาก ที่กระทำการร้ายแรงแบบนี้ ขอให้เขาตายตกไปตามกัน”

ยายอุทัย โปรษยะบุตร ผู้ยายของน้องขิม เล่าว่า รู้สึกเสียใจมาก กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหลาน ใจแทบสลาย ความน่ารักของพวกเขาจบสิ้น ไม่มีวันหวนคืน แต่อีกส่วนหนึ่งรู้สึกภูมิภาคใจที่หลานถือว่าตายในสมรภูมิ

“มาถึงตอนนี้อยากให้ทุกฝ่าย มีความรู้สึกเช่นเดียวกันกับผู้ที่เสียหาย ผู้ที่สูญเสียและอยากให้ทุกฝ่ายหันหน้ามาคุยกันจะดีกว่า”

นี่คือ เสียงส่วนหนึ่งของผู้สูญเสีย หรือเหยื่อเหตุรุนแรงทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย
เพียงแต่ว่า อีกด้านหนึ่งจนถึงวินาทีนี้...ปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ที่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบสูงสุด ยังคงพร่ำแต่คำว่า “ต้องอยู่ เพื่อรักษาประชาธิปไตย” โดยไม่สนใจว่า จะมีการสูญเสียอีกกี่ชีวิต นับจากนี้ไป
กำลังโหลดความคิดเห็น