ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - กปปส.เชียงใหม่หอบหลักฐานเข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อ “ดีเจอ้วน” และกลุ่มเสื้อแดงที่บุกรื้อทำลายเวทีกิจกรรมแล้ว 3 ข้อหา ทั้งทำให้เสียทรัพย์ ลักทรัพย์ และดูหมิ่นเหยียดหยามสัญลักษณ์ของชาติ จากกรณีทั้งเหยียบ และเผาป้ายที่มีรูปธงชาติ รวมทั้งกระโดดถีบเสาธงชาติ ยืนยันเตรียมเดินหน้าจัดกิจกรรมต่อเนื่องไม่หวั่นโดนข่มขู่คุกคาม พร้อมขอกำลังทหารช่วยดูแลความปลอดภัย
คลิกเพื่อชมคลิป
วันนี้ (17 ก.พ.) ที่สถานีตำรวจภูธรช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ นายกฤษณ์ ศรีเปารยะ แกนนำกลุ่ม กปปส.เชียงใหม่ เข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อนายอภิชาต อินสอน หรือ “ดีเจอ้วน” พร้อมกลุ่มเสื้อแดงอิสระเชียงใหม่ ประมาณ 50 คน บุกเข้ารื้อถอนทำลายเวทีจัดกิจกรรม “บอกรักเชียงใหม่ บอกรักประเทศไทย” ของทางกลุ่ม กปปส.เชียงใหม่ ที่บริเวณหน้าวัดเจ็ดยอด ในตัวเมืองเชียงใหม่ วานนี้ (16 ก.พ.) โดยกลุ่มคนเสื้อแดง ทั้งเหยียบและเผาป้ายไวนีลที่มีรูปธงชาติไทย รวมทั้งกระโดดถีบเสาธงชาติ ตลอดจนขู่ทำร้ายกลุ่ม กปปส.จนต้องยกเลิกกิจกรรมไปในที่สุด
โดยนายกฤษณ์เปิดเผยหลังการแจ้งความว่า เข้าแจ้งความดำเนินคดีใน 3 ข้อหา ได้แก่ ข้อหาทำให้เสียทรัพย์ ข้อหาลักทรัพย์ และข้อหาตามมาตรา 118 ที่ว่าด้วยการดูหมิ่นเหยียดหยามสัญลักษณ์ของชาติและประเทศชาติ จากการที่กลุ่มคนเสื้อแดงได้บุกรื้อทำลายเวทีกิจกรรมของทางกลุ่ม กปปส.เชียงใหม่ ซึ่งในเหตุการณ์ดังกล่าวพบว่า
นอกจากกลุ่มคนเสื้อแดงจะมีการรื้อทำลายเวที และป้ายแล้ว ยังได้ฉีก เหยียบ และเผาป้ายไวนีลที่มีรูปของธงชาติได้ รวมทั้งกระโดดถีบเสาไม้ไผ่ที่มีธงชาติไทยอยู่บนยอดเสาจนโค่นล้มไปหลายต้น โดยทางกลุ่มมีหลักฐานชัดเจนเป็นภาพถ่ายและภาพวิดีโอ ซึ่งได้มอบสำเนาไว้เป็นหลักฐานแก่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับแจ้งความแล้ว และยืนยันจะดำเนินคดีจนถึงที่สุด
แกนนำกลุ่ม กปปส.เชียงใหม่กล่าวด้วยว่า แม้ว่าจะถูกกลุ่มคนเสื้อแดงข่มขู่คุกคามการทำกิจกรรมในครั้งนี้ อย่างไรก็ตามทางกลุ่มจะยังคงมีการเคลื่อนไหวจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องอยู่ ซึ่งกิจกรรมครั้งต่อไปคาดว่าน่าจะมีขึ้นในอีกประมาณ 2 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งจะพยายามเลือกสถานที่ทำกิจกรรมในที่ปิด อย่างเช่นหอนิทรรศการศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่เคยใช้มาก่อน โดยในการจัดกิจกรรมครั้งต่อจากนี้ไปจะมีการขอการสนับสนุนกำลังพลจากทางมณฑลทหารบกที่ 33 ให้เข้ามาช่วยดูแลรักษาความปลอดภัยให้ทางกลุ่ม กปปส.และประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรม นอกเหนือไปจากกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำหน้าที่อยู่แล้วเพื่อความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
