กาญจนบุรี - กปปส.กาญจนบุรี แบ่งกำลัง 2 ชุด แห่ขบวนเชิญชวนข้าราชการหยุดงาน ต้านระบอบทักษิณ ส่วนศูนย์ราชการยอมให้ล็อกกุญแจประตูเข้า-ออกทุกแห่ง ส่วนกลุ่มชาวนาเข้าร่วมที่ราชบุรี
เมื่อเวลา 07.00 น. วันนี้ (24 ม.ค.) กลุ่ม กปปส.จังหวัดกาญจนบุรี กว่า 500 คน นำโดยนายศุภกิจ จงศักดิ์สวัสดิ์ ประธานสภาคณาจารย์ และข้าราชการมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ในฐานะประธานกลุ่ม กปปส.จังหวัดกาญจนบุรี นางภินันทน์ โชติรสเศรณี เดินทางไปรวมตัวกันที่บริเวณถนนหลักเมือง หน้าศาลาขุนแผน เขตเทศบาลเมืองกาญจนบุรี ทั้งหมดได้นำรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ส่วนตัวมากกว่า 50 คัน
หลังตั้งขบวนแล้วเสร็จทั้งหมดได้เคลื่อนขบวนไปที่ภายในเทศบาลเมืองกาญจนบุรี เพื่อเชิญชวนข้าราชการ และพนักงานของเทศบาลให้หยุดงานไปร่วมขบวนเพื่อต่อต้านระบอบทักษิณ พร้อมกล่าวโจมตีการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่นำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ครั้งนี้ได้รับการตอบรับจากข้าราชการ และพนักงานของเทศบาลเมืองกาญจนบุรีเป็นอย่างดี โดยมีนาง เบญจวรรณ เปรมประยูร นายกเทศบาลเมืองกาญจนบุรี ลงมาให้การต้อนรับพร้อมร่วมเป่านกหวีดกับกลุ่ม กปปส.โดยทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 30 นาที จากนั้นจึงเคลื่อนขบวนไปที่โรงเรียนเทพมงคลรังษี โรงเรียนระดับชั้นมัธยม เนื่องจากทางแกนนำทราบว่า กกต.ประจำจังหวัดกาญจนบุรี จะใช้เป็นสถานที่เลือกตั้งลงคะแนนในวันที่ 2 ก.พ.นี้
เมื่อไปถึงกลุ่ม กปปส.ประมาณ 40 คน นำโดยนายศุภกิจ จงศักดิ์สวัสดิ์ ได้เดินทางไปบริเวณถนนด้านหน้าอาคารเรียน พร้อมเป่านกหวีดดังลั่น ขณะนักเรียนกำลังเรียนหนังสืออยู่ภายในห้อง เมื่อได้ยินเสียงเป่านกหวีด นักเรียนจำนวนมากได้เดินออกจากห้องเรียนมาดูกลุ่ม กปปส.ที่กำลังเป่านกหวีดอยู่ระเบียงของโรงเรียน ต่อมา นายอังคาร เจริญผล ผอ.โรงเรียนเทพมงคลรังสี พร้อมคณะครูจำนวนหนึ่งได้เดินมาพบแกนนำพร้อมเจรจาขอให้กลุ่ม กปปส.หยุดเป่านกหวีด เนื่องจากเสียงนกหวีดส่งเสียงรบกวนสมาธิการเรียนของเด็กๆ เพราะทุกคนเตรียมตัวอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบอีกประมาณ 1 เดือน ซึ่งกลุ่ม กปปส.และแกนนำต่างเข้าใจดี แต่ขอร้องอย่าให้ กกต.มาใช้สถานที่ในการลงคะแนนในวันที่ 2 ก.พ.ซึ่งนายอังคาร เจริญผล ผอ.โรงเรียนเทพมงคลรังษี รับปากว่าจะไม่ให้ กกต.เข้ามาใช้สถานที่ จากนั้น กลุ่ม กปปส.จึงเดินทางไปรวมตัวกันที่ศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี
ระหว่างทางกลุ่ม กปปส.ได้แบ่งออกเป็น 2 ชุด ชุดละประมาณกว่า 200 คน ชุดแรกเข้าไปที่ศาลากลาง รวมตัวที่ด้านหน้าศาลากลาง โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ เเละเจ้าหน้าที่ อส.ฝ่ายปกครอง ยืนคุ้มกันทางขึ้นศาลากลาง และกระจายกำลังคอยดูแลความปลอดภัย โดยพบว่าศาลากลางทั้ง 5 ชั้น ข้าราชการทุกหน่วยงานได้ปิดประตูห้องทำงาน และขนอุปกรณ์การทำงานออกไปจากศาลากลางตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 07.30 น. ที่ผ่านมา ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก โดยไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น แกนนำได้ผลัดเปลี่ยนกันกล่าวโจมตีขับไล่รัฐบาลให้ลาออกจากรักษาการทั้งคณะ จนถึงขณะนี้กลุ่ม กปปส.ก็ยังคงรวมตัวกันอยู่ที่ศาลากลาง
กลุ่ม กปปส.ชุดที่ 2 เดินทางไปที่ศูนย์ราชการคลังจังหวัดกาญจนบุรี ถ.แม่กลอง ต.ปากแพรก อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เมื่อไปถึงได้ประกาศผ่านเครื่องขยายสียงเรียกร้องให้ข้าราชการทั้งหมดให้หยุดงานมาร่วมกับกลุ่ม กปปส.ในการขับไล่รัฐบาลรักษาการให้ลาออกไป เพื่อเปิดทางให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.เข้ามาปฏิรูปประเทศให้สำเร็จก่อนเปิดโอกาสให้จัดการเลือกตั้งขึ้นมาใหม่ ครั้งนี้ มีนายประจักษ์ บ่อเกิด ผช.กรมสรรพากร พื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี และข้าราชการกรมสรรพากร ข้าราชการกรมสรรพสามิต และส่วนราชการต่างๆ ที่ทำงานอยู่ภายในอาคารศูนย์ราชการคลังจังหวัดออกมาต้อนรับ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
จากนั้น กลุ่ม กปปส.ได้นำกุญแจพร้อมโซ่มาล็อกประตูทางเข้า-ออกเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปทำงาน โดยนายประจักษ์ บ่อเกิด ได้กล่าวว่ายินดีที่จะให้กลุ่ม กปปส.ล็อกประตูได้ เนื่องจากไม่อยากมีปัญหา ซึ่งจะได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงทราบต่อไป
จากนั้นกลุ่ม กปปส.ได้เคลื่อนขบวนไปที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดกาญจนบุรี ที่อยู่ใกล้กัน และเชิญชวนข้าราชการกระทรวงพาณิชย์หยุดงาน ซึ่งได้รับการตอบรับจากข้าราชการทั้งหมดเป็นอย่างดี อีกทั้งยังยอมให้ กลุ่ม กปปส.นำกุญแจพร้อมโซ่มาปิดประตูทางเข้า-ออก เหมือนสถานที่ราชการอื่นๆ อีกด้วย และขณะนี้ กลุ่ม กปปส.ได้ไปรวมตัวกันที่ศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี อย่างพร้อมเพรียงกัน โดยไม่มีเหตุปะทะกันเกิดขึ้นแต่อย่างใด
รายงานข่าวแจ้งว่า ในส่วนของกลุ่มชาวนาจังหวัดกาญจนบุรีที่แกนนำได้บอกว่า จะมากดดันรัฐบาลด้วยการปิดถนนบริเวณ 3 แยกไฟแดงท่าล้อ หมู่ 1 ต.ท่าล้อ ล่าสุด ได้รับแจ้งจากนายแรม เชียงกา แกนนำกลุ่มเกษตรกรชาวนาหนองสาหร่าย ได้เปลี่ยนแผนเดินทางไปร่วมกับกลุ่มเกษตรกรชาวนาจังหวัดราชบุรีแล้ว โดยมีชาวนาประมาณ 200 คน ที่ร่วมเดินทางไปในครั้งนี้
