ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - พบระดมกำลัง ตร.ชุดปราบจลาจลจากตำรวจภูธรจังหวัดอีสานใต้เข้ากรุงเทพฯ อื้อ ขณะ ผบก.แต่ละจังหวัดเรียงหน้าอ้างสับเปลี่ยนกำลังคุมม็อบตามรอบปกติ ไม่ใช่การระดมพลเตรียมสลายม็อบ กปปส.ตามกระแสข่าวลือในขณะนี้
วันนี้ (13 ธ.ค.) มีรายงานว่า ช่วงเช้าตรู่วันนี้ได้มีการระดมกำลังตำรวจชุดควบคุมฝูงชนจากภาคอีสานโดยเฉพาะในเขตอีสานตอนล่าง ในพื้นที่รับชอบของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 เดินทางด้วยรถตู้เข้ากรุงเทพฯ เป็นจำนวนมาก ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามข้อเท็จจริงของการระดมกำลังดังกล่าว ซึ่งผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดต่างๆ ต่างอ้างว่าเป็นการสับเปลี่ยนกำลังตามรอบปกติ ไม่ใช่เตรียมสลายม็อบ กปปส.ตามที่มีกระแสข่าวเกิดขึ้น
พล.ต.ต.ชัยเดช ปานรักษา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (ผบก.ภ.จว.) บุรีรัมย์ เปิดเผยว่า เช้าวันนี้ตนได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.สหรัฐ ประสงค์นิจกิจ รอง ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์ นำกำลังตำรวจชุดปราบจลาจลตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 1 กองร้อย ประมาณ 155 นาย เดินทางไปสับเปลี่ยนกำลังดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในการชุมนุมของประชาชนที่กรุงเทพฯ โดยให้ไปรายงานตัวและรับคำสั่งการปฏิบัติภารกิจ ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)
“การสับเปลี่ยนกำลังดังกล่าวเป็นไปตามรอบปกติเพื่อให้กำลังชุดเดิมได้กลับมาพัก ซึ่งการชุมนุมของประชาชนที่กรุงเทพฯ ครั้งนี้ ทางตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ได้ส่งชุดควบคุมฝูงชนเข้าไปสนับสนุน บช.น.ในการดูแลความสงบเรียบร้อยแล้วรวม 3 กองร้อย และต่อมาเมื่อไม่มีเหตุการณ์รุนแรงได้ถอนกำลังกลับมา 1 กองร้อย ปัจจุบันจึงคงเหลือเพียง 2 กองร้อย” พล.ต.ต.ชัยเดชกล่าว
พล.ต.ต.พงษ์เดช พรหมมิจิตร ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (ผบก.ภ.จว.) นครราชสีมา เปิดเผยว่า กรณีที่กำลังตำรวจชุดควบคุมฝูงชนตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา จำนวน 1 กองร้อย 155 นาย นำโดย พ.ต.อ.ฐากูร นัทธีศรี รอง ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา เดินทางเข้าไปกรุงเทพฯ เมื่อเช้าตรู่วันนี้ (13 ธ.ค.) เป็นการสับเปลี่ยนกำลังตามปกติในรอบ 10 วัน ไม่ใช่การเสริมกำลังเพื่อเตรียมสลายการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ตามที่มีกระแสข่าวลือแต่อย่างใด
โดยก่อนหน้านี้ทางตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมาได้ส่งกำลังชุดควบคุมฝูงชนเข้าไปสนับสนุน บช.น.ในการดูแลความสงบเรียบร้อยของการชุมนุมที่กรุงเทพฯ จำนวนรวม 2 กองร้อย และได้ถอนกำลังกลับมาแล้ว 1 กองร้อย เพื่อให้จังหวัดอื่นที่มีความพร้อมได้ส่งกำลังเข้าไปสนับสนุนแทน ปัจจุบันจึงเหลืออยู่ 1 กองร้อยซึ่งประจำอยู่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และวันนี้ได้ทำการสับเปลี่ยนกำลังให้ชุดเดิมกลับมาพักผ่อนตามรอบปกติเท่านั้น
“ตำรวจภูธรจังหวัดในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 3 มักถูกระดมกำลังชุดควบคุมฝูงชนเข้าไปสนับสนุนดูแลการชุมนุมในกรุงเทพฯ มาโดยตลอด เพราะที่ตั้งอยู่ใกล้ การเดินทางสะดวกและมีความพร้อมสูง ซึ่งทราบว่าขณะนี้ตำรวจภูธรภาค 3 ส่งกำลังชุดควบคุมฝูงชนไปสนับสนุนการดูแลความสงบเรียบร้อยของการชุมนุมที่กรุงเทพฯ รวมประมาณ 5 กองร้อย โดยส่วนใหญ่ประจำอยู่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” พล.ต.ต.พงษ์เดชกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า วันเดียวกันนี้ (13 ธ.ค.) เมื่อเวลา 04.00 น. ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ มีกำลังตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ สังกัดกองร้อยควบคุมฝูงชน จาก สภ.ต่างๆ ในจังหวัดสุรินทร์จำนวน 1 กองร้อย ประมาณ 170 นาย ได้มาขึ้นรถตู้เช่าใช้ในราชการ คันละ 1 หมู่ จำนวน 12 คัน พร้อมรถนำขบวน 1 คัน รถบรรทุกสัมภาระ 1 คัน และรถอำนวยการอีก 1 คัน รวมรถในขบวนจำนวน 15 คัน ออกเดินทางมุ่งหน้าเข้าไปปฏิบัติภารกิจควบคุมฝูงชนที่กรุงเทพฯ เพื่อสับเปลี่ยนกำลังตำรวจชุดควบคุมฝูงชนที่ครบกำหนดการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งภารกิจครั้งนี้คาดว่าจะได้รับมอบหมายให้ดูแลพื้นที่ทำเนียบรัฐบาล
โดยในช่วงที่ผ่านมาชุดควบคุมฝูงชนตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ได้รับมอบหมายดูแลประตูเข้า-ออก บช.น.ประตู 4-5 และการปฏิบัติหน้าที่แต่ละครั้งในทุกวันจะมีการเปลี่ยนที่นอนพักผ่อนเพื่อความปลอดภัย และเตรียมรับสถานการณ์ตลอดเวลา
ทางด้าน พล.ต.ต.พีระพงศ์ วงศ์สมาน ผบก.ภ.จว.ศรีสะเกษ เปิดเผยว่า ในวันนี้ตนได้เป็นประธานในพิธีปล่อยแถวเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชน สังกัดตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 160 คน เพื่อส่งไปดูแลพื้นที่เขตดอนเมืองและพื้นที่ต่างๆ ตามที่ผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจจะพิจารณาสั่งการ ซึ่งกำลังตำรวจชุดนี้จะเข้าไปสับเปลี่ยนเพื่อทำหน้าที่แทนเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนที่ถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ก่อนหน้านี้แล้ว จำนวน 1 กองร้อย และได้เดินทางกลับมาถึง จ.ศรีสะเกษแล้วเมื่อช่วงกลางดึกของคืนวันที่ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมา
“ได้กำชับเจ้าหน้าที่ ตำรวจทุกนายที่เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในครั้งนี้ ขอให้ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเคร่งครัด และรักษาภาพลักษณ์ที่ดีงามของตำรวจ รักษาวินัยอย่างเคร่งครัด ห้ามไปปฏิบัติตัวในทางที่เสื่อมเสียอย่างเด็ดขาด โดยให้ทุกนายรักษาความสงบเรียบร้อยและรักษาความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและสถานที่ราชการอย่างเต็มที่” พล.ต.ต.พีระพงศ์กล่าว