ลำปาง - ญาติผู้เสียชีวิตแจ้งความแพทย์เวรโรงพยาบาลเมืองปาน อ้างพยาบาลฉีดยา 2 ชั่วโมง 4 เข็ม ทำให้ญาติเสียชีวิต
วานนี้ (23 พ.ย.) นางลัดดา กำลังมาก อายุ 50 ปี พร้อมชาวบ้านจำนวนหนึ่ง ร้องเรียนต่อสื่อมวลชน พร้อมเข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อแพทย์ประจำโรงพยาบาลเมืองปาน จ.ลำปาง หลังนางวิรุณ สุขสวัสดิ์ อายุ 49 ปี เสียชีวิต โดยศพของนางวิรุณ ญาติได้ตั้งไว้ที่บ้านเลขที่ 110 หมู่ 10 ต.บ้านขอ อ.เมืองปาน
นางลัดดา ซึ่งเป็นพี่สาวของผู้ตายเล่าว่า เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน นางวิรุณ กลับจากการทำนาเวลาเที่ยงวัน ได้บอกแก่ญาติว่ารู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ ปวดตามปลายนิ้วมือ และนิ้วเท้า ญาติจึงให้นอนพัก และกินยาแก้ปวดลดไข้ จนช่วงเย็นผู้ตายออกจากห้องมากินนมกับขนม และกินยาแก้ปวดลดไข้อีก 2 เม็ด และนอนหลับไป
กระทั่งเวลาประมาณ 00.09 น. หลานสาวได้มาตะโกนเรียกตนให้ช่วยนำแม่ส่งโรงพยาบาล จึงนำขึ้นรถมาส่งที่โรงพยาบาลเมืองปาน เจ้าหน้าที่ได้นำเข้าห้องฉุกเฉิน มีพยาบาล 2 คน และเวรเปล 1 คน อยู่ในห้องฉุกเฉิน พร้อมสอบถามอาการ และซักประวัติผู้ป่วย
จากนั้นพยาบาลโทรศัพท์รายงานแพทย์เวร ต่อมา พยาบาลเข้ามาฉีดยาที่สะโพกให้ 1 เข็ม แต่อาการไม่ดีขึ้น พยาบาลก็โทรศัพท์หานายแพทย์คนเดิมอีก จากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง พยาบาลได้มาฉีดยาให้อีก 1 เข็ม โดย 2 เข็มแรก พยาบาลอ้างว่าเป็นยาแก้โรคกระเพาะ แต่อาการของนางวิรุณ กลับไม่ดีขึ้น ผู้ป่วยลุกเดินลุกนั่ง และเข้าห้องน้ำตลอดเวลา ตนจึงไปถามพยาบาล ซึ่งพยาบาลบอกให้นางวิรุณ นอน แต่นางวิรุณไม่ยอมนอน พยาบาลจึงโทรศัพท์กลับไปหาแพทย์เวร หลังจากวางโทรศัพท์พยาบาลก็ฉีดยาให้อีก 1 เข็ม ซึ่งพยาบาลบอกว่ายาเป็นยานอนหลับ ซึ่งทิ้งระยะจากเข็มที่ 2 ประมาณ 30 นาที
แต่นางวิรุณ ยังไม่มีทีท่าว่าจะนอนหลับ กลับแสดงอาการกระวนกระวายมากขึ้น พยาบาลบอกเพียงว่าให้นอนหลับ แต่นางวิรุณ ก็ไม่ยอมนอน พยาบาลจึงโทร.ปรึกษานายแพทย์คนเดิม จากนั้นก็ฉีดยาให้อีก 1 เข็ม ซึ่งรวมทั้งหมดเป็น 4 เข็ม ในเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นก็อนุญาตให้พานางวิรุณ กลับบ้านได้
โดยขณะเดินทางออกจากโรงพยาบาล นางวิรุณ เริ่มแสดงอาการไม่ค่อยดี กลับถึงบ้านก็บ่นว่าร้อนจนต้องถอดเสื้อผ้าออกหมด และดิ้นทุรนทุราย ลิ้นจุกปาก สิ้นใจในเวลาต่อมา ซึ่งรวมเวลาที่ออกจากโรงพยาบาลเมืองปาน และมาถึงบ้านประมาณ 20 นาทีเท่านั้น
นางลัดดา กล่าวว่า ขณะที่รับการรักษาที่โรงพยาบาลเมืองปาน ไม่มีแพทย์มาดูแล หรือตรวจอาการของคนไข้เลย มีเพียงพยาบาล 2 คน จะใช้วิธีโทรศัพท์สอบถามแพทย์เท่านั้น ซึ่งหากแพทย์มีความรับผิดชอบอยู่ตรวจคนไข้ น้องสาวของตนก็คงไม่ตาย จึงอยากให้โรงพยาบาลออกมาแสดงความรับผิดชอบ
วานนี้ (23 พ.ย.) นางลัดดา กำลังมาก อายุ 50 ปี พร้อมชาวบ้านจำนวนหนึ่ง ร้องเรียนต่อสื่อมวลชน พร้อมเข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อแพทย์ประจำโรงพยาบาลเมืองปาน จ.ลำปาง หลังนางวิรุณ สุขสวัสดิ์ อายุ 49 ปี เสียชีวิต โดยศพของนางวิรุณ ญาติได้ตั้งไว้ที่บ้านเลขที่ 110 หมู่ 10 ต.บ้านขอ อ.เมืองปาน
นางลัดดา ซึ่งเป็นพี่สาวของผู้ตายเล่าว่า เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน นางวิรุณ กลับจากการทำนาเวลาเที่ยงวัน ได้บอกแก่ญาติว่ารู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ ปวดตามปลายนิ้วมือ และนิ้วเท้า ญาติจึงให้นอนพัก และกินยาแก้ปวดลดไข้ จนช่วงเย็นผู้ตายออกจากห้องมากินนมกับขนม และกินยาแก้ปวดลดไข้อีก 2 เม็ด และนอนหลับไป
กระทั่งเวลาประมาณ 00.09 น. หลานสาวได้มาตะโกนเรียกตนให้ช่วยนำแม่ส่งโรงพยาบาล จึงนำขึ้นรถมาส่งที่โรงพยาบาลเมืองปาน เจ้าหน้าที่ได้นำเข้าห้องฉุกเฉิน มีพยาบาล 2 คน และเวรเปล 1 คน อยู่ในห้องฉุกเฉิน พร้อมสอบถามอาการ และซักประวัติผู้ป่วย
จากนั้นพยาบาลโทรศัพท์รายงานแพทย์เวร ต่อมา พยาบาลเข้ามาฉีดยาที่สะโพกให้ 1 เข็ม แต่อาการไม่ดีขึ้น พยาบาลก็โทรศัพท์หานายแพทย์คนเดิมอีก จากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง พยาบาลได้มาฉีดยาให้อีก 1 เข็ม โดย 2 เข็มแรก พยาบาลอ้างว่าเป็นยาแก้โรคกระเพาะ แต่อาการของนางวิรุณ กลับไม่ดีขึ้น ผู้ป่วยลุกเดินลุกนั่ง และเข้าห้องน้ำตลอดเวลา ตนจึงไปถามพยาบาล ซึ่งพยาบาลบอกให้นางวิรุณ นอน แต่นางวิรุณไม่ยอมนอน พยาบาลจึงโทรศัพท์กลับไปหาแพทย์เวร หลังจากวางโทรศัพท์พยาบาลก็ฉีดยาให้อีก 1 เข็ม ซึ่งพยาบาลบอกว่ายาเป็นยานอนหลับ ซึ่งทิ้งระยะจากเข็มที่ 2 ประมาณ 30 นาที
แต่นางวิรุณ ยังไม่มีทีท่าว่าจะนอนหลับ กลับแสดงอาการกระวนกระวายมากขึ้น พยาบาลบอกเพียงว่าให้นอนหลับ แต่นางวิรุณ ก็ไม่ยอมนอน พยาบาลจึงโทร.ปรึกษานายแพทย์คนเดิม จากนั้นก็ฉีดยาให้อีก 1 เข็ม ซึ่งรวมทั้งหมดเป็น 4 เข็ม ในเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นก็อนุญาตให้พานางวิรุณ กลับบ้านได้
โดยขณะเดินทางออกจากโรงพยาบาล นางวิรุณ เริ่มแสดงอาการไม่ค่อยดี กลับถึงบ้านก็บ่นว่าร้อนจนต้องถอดเสื้อผ้าออกหมด และดิ้นทุรนทุราย ลิ้นจุกปาก สิ้นใจในเวลาต่อมา ซึ่งรวมเวลาที่ออกจากโรงพยาบาลเมืองปาน และมาถึงบ้านประมาณ 20 นาทีเท่านั้น
นางลัดดา กล่าวว่า ขณะที่รับการรักษาที่โรงพยาบาลเมืองปาน ไม่มีแพทย์มาดูแล หรือตรวจอาการของคนไข้เลย มีเพียงพยาบาล 2 คน จะใช้วิธีโทรศัพท์สอบถามแพทย์เท่านั้น ซึ่งหากแพทย์มีความรับผิดชอบอยู่ตรวจคนไข้ น้องสาวของตนก็คงไม่ตาย จึงอยากให้โรงพยาบาลออกมาแสดงความรับผิดชอบ