อุดรธานี - มาตามนัด หน้ากากขาวอุดรฯ ชุมนุมหน้าทุ่งศรีเมืองอุดรฯ ขณะที่กลุ่มคนรักอุดรฯ นำโดยถ่อยขวัญชัย นำทีมเสื้อแดงล้อมกรอบหน้ากากขาว หวิดปะทะ อ้างทำให้คนอุดรฯ เสื่อมเสีย ทั้งใช้คำสบถด่าอย่างเผ็ดร้อน สุดท้ายหน้ากากขาวอุดรฯ อ่านแถลงการณ์ต้านระบอบทักษิณให้รัฐบาลบริหารโดยธรรมาภิบาล
วันนี้ (21 ก.ค.) ที่ลานปูนสนามทุ่งศรีเมืองอุดรธานี กลุ่มหน้ากากขาวอุดรธานีจำนวนกว่า 100 คนได้ทยอยเดินทางมาชุมนุมบริเวณดังกล่าว เพื่อร่วมกันทำกิจกรรมแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการบริหารประเทศของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมได้นำป้ายข้อความชูเหมือนเช่นทุกครั้ง
ขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงของชมรมคนรักอุดร นำโดยนักจัดรายการวิทยุนำเอารถติดเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่ พร้อมด้วยสมาชิกคนเสื้อแดงประมาณ 100 คน เดินทางขัดขวางการชุมนุมของกลุ่มหน้ากากขาว โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดคุมฝูงชน จำนวน 200 นายรักษาความสงบเรียบร้อย
ต่อมาเวลาประมาณ 16.45 น. นายขวัญชัย สาราคำ ประธานชมรมคนรักอุดร พร้อมด้วยคนคุ้มกันจำนวนหนึ่งเดินฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจมุ่งตรงเข้าไปหากลุ่มหน้ากากขาว พร้อมขอให้กลุ่มหน้ากากขาวกลับไป โดยให้เหตุผลว่าเป็นคนกลุ่มเพียงไม่กี่คนทำให้บรรยากาศของเมืองอุดรธานีได้รับความเสียหาย เป็นเหตุให้มีการปะทะคารมกันระหว่างนายขวัญชัย กับกลุ่มหน้ากากขาวอย่างเผ็ดร้อน
กลุ่มคนหน้ากากขาวได้ตอบโต้นายขวัญชัยว่า การชุมนุมของกลุ่มไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรให้แก่จังหวัดอุดรธานี เพราะกลุ่มหน้ากากขาวทำกิจกรรมที่แสดงออกซึ่งประชาธิปไตย เมื่อไม่ชอบรัฐบาลที่บริหารโดยน้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็สามารถจะแสดงออกได้ ไม่เหมือนกับนายขวัญชัยซึ่งเป็นคนต่างถิ่น และมาอาศัยจังอุดรธานี และเป็นขี้ข้าของทักษิณ
ทำให้นายขวัญชัยเกิดอารมณ์ และตอบโต้กลับไปว่า ตนเป็นขี้ข้าของทักษิณแล้วไปหนักหัวใคร พร้อมกับบอกว่าขณะนี้ต้องยอมรับสถานะว่ารัฐบาลของพรรคเพื่อไทยได้รับการเลือกตั้งมาด้วยเสียงจำนวนมาก จังหวัดอุดรธานีก็เลือก ส.ส.พรรคเพื่อไทยทั้ง 9 คน โดยมีการตอบโต้กันด้วยคำพูดอย่างเผ็ดร้อน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่คอยดูแลความเรียบร้อยพยายามห้ามปรามและแยกออกจากกัน ขณะที่คนเสื้อแดงที่อยู่โดยรอบได้ใช้คำพูดที่หยาบคาย ด่ากลุ่มหน้ากากขาวต่างๆ นานา พร้อมไล่ให้กลับบ้านไป
ทั้งนี้ เหตุการณ์ผ่านไปจนถึงเวลา 17.45 น. ตัวแทนหน้ากากขาวได้อ่านแถลงการณ์ โดยมีข้อความระบุว่า ประเทศไทยเป็นเอกราช ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมายาวนานตั้งแต่ พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ระบอบประชาธิปไตยได้มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ อาจจะล้มลุกคลุกคลานมากบ้างแต่ก็สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง เนื่องด้วยคนไทยมีสถาบันสำคัญเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และหลอมรวมให้เกิดความรักชาติ ความสามัคคี ความเสียสละเพื่อให้สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์มีความมั่นคงสืบไป เกิดเป็นธรรมเนียมการปฏิบัติจากรุ่นสู่รุ่น เป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ
แต่ปัจจุบันนี้ประเทศไทยถูกปกครองครอบงำด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบที่เราไม่เคยคุ้นเคย ที่เรียกว่าระบอบทักษิณ ซึ่งกำลังสั่นคลอนความเชื่อมั่นในความดีงาม ความมีศีลธรรม จริยธรรม ทำลายขนมธรรมเนียมประเพณีที่บรรพบุรุษ และคนไทยทั้งหลายได้ร่วมกันสร้างสมไว้เพื่อเป็นมรดกทางวัฒนธรรมให้ลูกหลานได้รู้รากเหง้าของตนเอง
ระบอบทักษิณได้หยั่งรากลึกในแผ่นดินไทยมาร่วม 10 ปี ส่งผลร้ายต่อประเทศด้วยการบิดเบือนความหมายของระบอบประชาธิปไตย นำมาใช้เพียงเพื่อประโยชน์เข้าสู้อำนาจรัฐเท่านั้น ส่งเสริมให้ประชาชนนับถือวัตถุเงินตรามากกว่าคุณธรรมความดีที่เราเคยยึดมั่น ทำให้ประชาชนและประเทศชาติอ่อนแอเพราะไม่มีภูมิคุ้มกันความชั่วร้ายของวงจรอุบาทว์ที่ฉ้อฉลโดยใช้เงินซื้ออำนาจ
เราหน้ากากขาวได้เฝ้ามองด้วยความห่วงใยสถานการณ์ของชาติอยู่ในวิกฤตอย่างยิ่ง ขอให้รัฐบาลบริหารประเทศโดยยึดหลักธรรมาภิบาลความปรองดองของคนในชาติที่รัฐบาลพูด
ทั้งนี้ ภายหลังจากการอ่านแถลงการณ์แล้วเสร็จ กลุ่มหน้ากากขาวได้ร่วมกันร้องเพลงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมี และแยกย้ายกันเดินทางกลับ