xs
xsm
sm
md
lg

“หลวงปู่เณรคำ” พระในตำนานลุ่มน้ำโขงภูเขาควาย สปป.ลาว....ทำไมถึงกลายมาเป็น “พระลวงโลก”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นครพนม-เผย “หลวงปู่เณรคำ” มีที่มาย้อนหลัง 70-80 ปีก่อน เป็นตำนานพระธุดงค์สายปฏิบัติในลุ่มน้ำโขง “ภูเขาควาย” สปป.ลาว แต่ถูกอุปโลกน์จากพระปลอมฝั่งไทย ใช้ชื่อหลวงปู่เณรคำหลายรูปหากินจากศรัทธาชาวบ้าน

ข่าว “หลวงปู่เณรคำลวงโลก” กลายเป็นประเด็นโด่งดังทางสื่อในขณะนี้ แต่ยังไม่มีใครทราบว่าจริงๆ แล้ว หลวงปู่เณรคำ ตัวจริงมีที่มาอย่างไร และมาจากไหน

ต้องย้อนไปเมื่อ 70-80 ปี ในลุ่มน้ำโขง “ภูเขาควาย” สปป.ลาว เทือกเขาสูงชันเต็มไปด้วยสิ่งลี้ลับภูผีพนาค ในวงการพระธุดงค์สายปฏิบัติจะรู้กันภูเขาควายนั้นเปรียบเสมือน “มหาลัยสงฆ์สายพระป่า” และหาเหตุผลอ้างอิงได้ลองค้นดูชีวิตประวัติพระเกจิชื่อดังตั้งแต่ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ฝั้น ฯลฯ หลายองค์ที่ล่วงลับ “ล้วนแต่ผ่านภูเขาควาย” มาทั้งนั้น

ตามตำนานหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ “หลวงปู่เณรคำ” แม้กระทั่ง หลวงปู่คำคะนิง เกจิสายปฏิบัติที่มรณภาพไปแล้ว และหลวงปู่เกลี้ยง วัดโนนเกด จ.ศรีสะเกษ ตลอดจนสมเด็จลุนสุดยอดเกจิชื่อดังฝัง สปป.ลาว หลวงปู่สรวง ก็ล้วนได้กล่าวถึงเณรคำร่วมเดินธุดงค์ ด้วยกันบนภูเขาควาย

ถึงแม้เณรคำ จะเป็นเณรอายุราว 20 ปี แต่พระเกจิเหล่านี้นั่งทางในจะรู้ด้วยญานว่า เณรคำ มีอายุราว 120 ปี คือเป็นพระไม่แก่

สอดรับกับเรื่องชาวบ้านฝั่ง สปป.ลาว พาลูกสาวอายุ 14-15 ปี ออกมาใส่บาตรกับหลวงปู่เณรคำ ต่อมา เณรคำ ก็หายไป วันหนึ่งลูกสาวอายุ 14-15 ในวันนั้นต่อมาอายุ 70 ปี ออกมาใส่บาตรเขาจำได้ว่าเป็นเณรที่เขาใส่บาตร แต่เณรคำกลับยังไม่แก่ จึงกลายเป็นตำนานที่รู้กันในลุ่มน้ำโขงใน...หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเคยเห็นเณรคำอีกเลย…..

และ นี่คือจุดเริ่มต้นของ “เณรคำลวงโลก” ที่โด่งดั่งในขณะนี้

ปัจจุบัน มีพระอุตริยกตนว่า “เป็นหลวงปู่เณรคำตัวจริงถึง 2 ราย และโด่งดังมากในห้วง 3-5 ปีมานี้ โดยมีพฤติกรรมเหมือนกัน ทั้งที่ จ.ศรีสะเกษ และนครพนม”

ชาวบ้านในอำเภอศรีสงคราม จ.นครพนม ออกมากล่าวในทำนองว่าที่ อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม ได้มีพระรูปหนึ่งอ้างตนว่าเป็นหลวงปู่เณรคำ มาตั้งวัดที่วัดภายในบ้านคำไฮ ต.หาดแพง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม ซึ่งเป็นวัดชื่อดังมาก

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีการจัดกิจกรรมที่แหวกแนวเช่นกัน เช่น ตักบาตรเทวดาตอน 6 ทุ่มวันขึ้นปีใหม่ มีทหาร ตำรวจ ประชาชน พ่อค้า นายธนาคาร มาร่วมทำบุญบริจาคเงินจำนวนมาก ภายใต้คอนเช็ปต์ “คนเหนือโลกเทวดาเดินดินหลวงปู่เณรคำ” เช่นกัน และมีข่าวที่ไม่ดีเช่นกันแต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน

นายพนมศักดิ์ วะตะมะ อายุ 46 ปี กำนันตำบลหาดแพง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม นายเวา นามเมด อายุ 36 ปี ส.อบต.หาดแพง นายสังวาลย์ สิงห์งอย อายุ 37 ปี ผู้ใหญ่บ้านคำไฮ หมู่ 8 ต.หาดแพง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม และผู้นำท้องถิ่น ที่เข้าไปตรวจสอบบริเวณวัดเล่าว่า เดิมทีเป็นสวนยางพารา ชาวบ้านศรัทธายกที่ให้ตั้งสำนักสงฆ์ เดิมทีไม่มีอะไร เมื่อ 3 ปีก่อน เป็นเพิงหญ้า หลวงปู่องค์นี้จะมีอายุหนุ่มราว 25 ปี ใส่ผ้าสบงสีดำเก่าๆ ขาดๆ มีไม้เท้าพญานาค

หลังจากคนศรัทธามาบริจาคมากก็มีการพัฒนาวัดสิ่งปลูกสร้างเกิดขึ้น พบมีการจัดทำป้ายบอกทางชื่อ วัดหลวงปู่เณรคำ ส่วนวัดดังกล่าวทราบชื่อคือ วัดป่าสามัคคีธรรม ตั้งอยู่ในพื้นที่กว่า 4 ไร่ ท้ายหมู่บ้านคำไฮ ต.หาดแพง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม

ภายในวัดพบมีการก่อสร้างศาลาการเปรียญขนาดใหญ่ แต่ยังไม่แล้วเสร็จ ดำเนินการก่อสร้างไปแล้วกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงพบการก่อสร้างพระเจดีย์คำแก้ว ขนาดใหญ่ ที่เกือบแล้วเสร็จ

นอกจากนี้ ภายในวัดยังพบศาลากุฏิเรือนรับรองที่มีการจัดแสดงกิจวัตรของพระที่ชื่อ หลวงปู่เณรคำ เกี่ยวกับพิธีกรรมต่างๆ โดยส่วนใหญ่จะเป็นพิธีกรรมใหญ่ และมีชาวบ้าน รวมถึงนายทหารชั้นผู้ใหญ่มาร่วมงานจำนวนมาก แต่สอบถามทราบว่า พระหลวงปู่เณรคำ ไม่อยู่ภายในวัดประมาณ 4 -5 เดือนแล้ว โดยไม่มีใครทราบที่ไปที่มา มีเพียงพระลูกวัด จำนวน 2 รูป ที่มาอาศัยอยู่ในวัด เพื่อรอจำพรรษา

นายพนมศักดิ์ เล่าอีกว่า เดิม วัดป่าสามัคคีธรรม บ้านคำไฮ ต.หาดแพง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม เป็นที่พักสงฆ์ ยังไม่ได้มีการขออนุญาตจัดตั้งเป็นวัดตามกฎหมาย ซึ่งย้อนหลังไปประมาณ 4-5 ปี หลวงปู่เณรคำ หรือชื่อเดิมคือ พระทองใบ ปัญญาพโล อายุ 30 ปี หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ครูบาอึ่ง ที่มีภูมิลำเนาอยู่ที่ อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ก่อนได้บรรพชาเป็นสามเณร และเดินทางมาจำพรรษาที่สำนักสงฆ์ เพราะไม่มีพระดูแล จนกระทั่งในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา พบว่า พระทองใบ ได้ไปอุปสมบทเป็นพระสายธรรมยุติ โดยไม่มีใครรู้ถึงที่ไปที่มา หลังไปธุดงค์ และมีการเปลี่ยนฉายาเป็น หลวงปู่เณรคำ อย่างน่าแปลกใจ

ชาวบ้านตรวจสอบแล้วเป็นคนละรูปกับหลวงปู่เณรคำ ที่ จ.ศรีสะเกษ ก่อนมีการสร้างชื่อเสียงความศรัทธาของชาวบ้านด้วยการแสดงแสดงตัวเป็นเกจิอาจารย์ คอยรักษาโรคที่เกิดจากไสยศาสตร์ ความเชื่อเรื่องผี และพิธีสะเดาเคราะห์ เนื่องจากเชื่อว่า หลวงปู่เณรคำ คือร่างของเทพเจ้าตามตำนานที่มาโปรดชาวโลก

จนกระทั่งได้รับฉายานามว่า คนเหนือโลก ทำให้มีชื่อเสียงภายใน 2-3 ปี อย่างเหลือเชื่อ จนมีชาวบ้านจากทั่วสารทิศแห่มาทำบุญ บริจาคเงินจำนวนมาก ทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ หรือนักธุรกิจที่ร่ำรวย จากต่างจังหวัดเดินทางมาทำบุญไม่ขาดสาย

จนกระทั่งในปี 2552 ทางวัดได้มีการจัดพิธีใหญ่สร้างเจดีย์ ชื่อ เจย์ดีคำแก้วสมปรารถนา ขึ้น ที่มีผู้ใจบุญมาร่วมเป็นเจ้าภาพบริจาคเงินก่อสร้างมากกว่า 10 ล้านบาท ปัจจุบัน ทำการก่อสร้างไปแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งทำให้เกิดกระแสความศรัทธามากขึ้น แต่ทางคณะกรรมการหมู่บ้านบางส่วนที่ไม่หลงเชื่อ ได้พยายามประสานงานกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง เพื่อติดตามพฤติกรรม เกรงว่าจะเป็นการแฝงผลประโยชน์หลอกลวงชาวบ้าน เพราะบางครั้งพบว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับความเป็นพระรักษาศีล

ในที่สุดได้เกิดปัญหาขึ้น ภายหลังได้พบข้อมูลว่า เมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 2554 มีเอกสารบันทึกประจำวันของ สภ.คำป่าหลาย จ.มุกดาหาร ระบุว่า หลวงปู่เณรคำ เคยถูกจับกุมหลังขับรถไปกับสีกาลำพัง และมีอาวุธปืนในรถ ก่อนสื่อมวลชนได้ติดตามเสนอข่าวถึงพฤติกรรมไม่เหมาะสม ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เป็นที่มาของก่อน หลวงปู่เณรคำ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลในข้อหาหมิ่นประมาท ทำให้เสื่อมเสีย โดยมีกำนัน ตกเป็นจำเลย ด้วยเมื่อเดือนสิงหาคม 2555

แต่สุดท้ายศาลชั้นต้นได้ยกฟ้อง เมื่อเดือนมกราคม 2556 แต่หลวงปู่เณรคำ ได้หายไปจากวัด ตั้งแต่มีการยื่นฟ้องร้อง สอบถามคนใกล้ชิดอ้างว่า ไปปฏิบัติธรรมอยู่ประเทศลาว ทำให้การดำเนินกิจวัตรภายในวัดทุกอย่างหยุดชะงักลง เพราะชาวบ้านเริ่มหมดศรัทธา

นายพนมศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นตนมองว่าอาจจะเป็นขบวนการลวงโลก ที่มีการอุปโลกน์สร้างชื่อเสียงหลวงปู่เณรคำ เพื่อแฝงประโยชน์ ส่วนจะเชื่อมโยงกันหรือไม่นั้นอยากให้เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบ เพราะทราบว่า มีพระหลายรูปที่ตั้งชื่อ หลวงปู่เณรคำ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องแปลก แต่ในส่วนของเรื่องคดีหลังศาลยกฟ้องทางตนจะไม่เอาความอีก ปล่อยให้เป็นไปตามเวรกรรม แต่จะไม่ยอมให้ หลวงปู่เณรคำ กลับมาจำวัดอีกแน่นอน เพราะจะสร้างความเสื่อมเสียให้ชาวบ้าน และเชื่อว่าคงไม่กลับมาอีก เพราะมีปัญหาเรื่องหนี้สิน เงินทอง ที่ติดค้างกับร้านค้าต่างๆ ที่นำมาก่อสร้างวัดอีกจำนวนมาก

ส่วนวัดที่เกิดขึ้นถือเป็นสิ่งปลูกสร้างทางศาสนา จะได้ร่วมกันกับชาวบ้านทำนุบำรุง เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้านต่อไป และหาพระดีๆ มารักษาดูแล

กำลังโหลดความคิดเห็น