xs
xsm
sm
md
lg

ตีความคดีเขาพระวิหารไม่กระทบการค้า-ท่องเที่ยว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายสิริพงศ์  อังคสกุลเกียรติ  ประธานหอการค้าศรีสะเกษ
ศรีสะเกษ-ประธานหอการค้าศรีสะเกษเผย คดีตีความเขาพระวิหารที่เสร็จสิ้นไปไม่กระทบต่อการค้า การท่องเที่ยวไทย-เขมร ที่ช่องสะงำ แต่กลับทำให้มูลค่าการซื้อขายเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ชี้หากมีสงครามเกิดขึ้นถึงจะทำให้กระทบต่อการค้า และการท่องเที่ยว

วันนี้ (23 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์  จ.ศรีสะเกษ  ปรากฏว่า ภายหลังเสร็จสิ้นการแถลงต่อศาลโลกของฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาคดีตีความปราสาทพระวิหารแล้ว ปรากฏว่าชาวบ้านยังคงพากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ชาวบ้านส่วนมากต่างพากันหวั่นเกรงว่าหากผลการพิพากษาของศาลโลกออกมาแล้วไม่เป็นที่พอใจของกัมพูชาก็อาจจะเกิดสงครามระหว่างไทยกับกัมพูชาขึ้นมาอีกเหมือนเมื่อช่วงปี 2554 ที่ผ่านมาก็เป็นได้ ขณะนี้สถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาด้านเขาพระวิหารยังคงปกติ โดยทหารไทยยังคงตั้งด่านตรวจเข้มไม่ยอมให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความมั่นคงขึ้นไปที่บริเวณผามออีแดง อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ซึ่งอยู่ใกล้กับปราสาทพระวิหาร

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ประธานหอการค้าศรีสะเกษ กล่าวถึงกรณีการแถลงต่อศาลโลกของฝ่ายไทยและกัมพูชาคดีตีความเขาพระวิหารว่า กรณีนี้มีผลกระทบต่อ จ.ศรีสะเกษอยู่หลายแง่มุมด้วยกัน ซึ่งในแง่มุมหนึ่งที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์ก็คือ เป็นการลบภาพความคลุมเครือซึ่งมีมาเป็นระยะเวลานานแล้ว โดยจะหายไปเนื่องจากว่าเมื่อคำสั่งของศาลโลกจะเป็นประการใดเราก็จะได้รู้ทิศทางว่าจะเป็นแบบไหน เพราะว่าในอดีตที่ผ่านมาตลอดระยะเวลา 4-5 ปีคาราคาซังมานานแล้ว

ดังนั้น ทิศทางในการที่จะพัฒนาต่อไปก็จะชัดเจนขึ้น ส่วนในบางประเด็นที่คนบอกว่าไม่ควรจะขึ้นศาล อันนั้นเป็นเรื่องของความคิดเห็นที่อาจจะแตกต่างกัน แต่ในแง่ของนักลงทุนหรือในแง่ของคนที่จะพัฒนาต้องการจะเห็นภาพที่ชัดเจนมากกว่า

สังเกตได้จากตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดทุนใหญ่ๆ ทั่วโลก ถ้ามีข่าวคราวที่เป็นความคลุมเครือบรรยากาศของการลงทุนก็จะไม่ค่อยดีนัก แต่ข่าวที่ออกมาไม่ว่าจะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย เมื่อตลาดรับรู้ข่าวแล้วทิศทางในการลงทุนก็จะชัดเจนมากยิ่งขึ้น

นายสิริพงศ์  กล่าวต่อไปว่า สำหรับพวกเราชาวศรีสะเกษก็ค่อนข้างจะพอใจกับทีมของรัฐบาลที่ได้ไปให้การในศาลโลกด้วยวาจา ซึ่งเราคิดว่าเป็นสิ่งที่ท่านทำดีที่สุดแล้ว ส่วนผลจะเป็นอย่างไรนั้นคิดว่าเป็นเรื่องของการตัดสินใจของรัฐบาลต่อไปเมื่อผลการตัดสินออกมา

อย่างไรก็ตาม จะดำเนินการอย่างไรในส่วนของการค้าชายแดนกับกรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร ถ้าเราลองดูจากสถิติเก่าๆ ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าการค้าขายโดยผ่านวิธีศุลกากรตามด่านช่องสะงำเติบโตขึ้นทุกปี ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาเราเริ่มเติบโตจากการมีมูลค่าการส่งออกปีหนึ่งไม่กี่ร้อยจากไม่กี่สิบล้าน ไม่กี่ร้อยล้าน เป็นหลายร้อยล้านจนกระทั่งเคยถึงพันล้าน

ทั้งนี้ การค้าได้รับผลกระทบและสะดุดบ้างในปี 2554 ซึ่งมีการกระทบกระทั่งเหตุการณ์บริเวณปราสาทพระวิหาร และด่านถูกปิดไป เมื่อด่านถูกปิดไปการจำหน่ายสินค้าประเภทยุทธปัจจัยกลายเป็นสิ่งต้องห้ามเมื่อเกิดสถานการณ์อย่างนั้นขึ้น

นายสิริพงศ์ยังกล่าวด้วยว่า ปี 2554 ปีเดียวเท่านั้นที่มูลค่าการส่งออกตกลงมาอยู่ประมาณ 100-200 ล้านบาทต่อปี หลังจากนั้นในปี 2555 ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นมามีการส่งออกได้เดือนหนึ่ง 100 กว่าล้านบาท เบ็ดเสร็จมาถึงปัจจุบันตามที่คาดการณ์ ตามที่ดูจากตัวเลขคาดการณ์ว่าในแต่ละปีจะมีมูลค่าการส่งออกประมาณปีละ 1,000 กว่าล้านบาท ซึ่งใน 1,000 กว่าล้านบาทก็จะได้ดุลการค้าประเทศกัมพูชาประมาณ 800-900 ล้านบาทขึ้น

ทั้งนี้ ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงสำหรับด่านเล็กๆ อย่างด่านช่องสะงำ โดยจะนำไปเทียบกับด่านอรัญประเทศ ซึ่งมูลค่าการส่งออก 30,000-40,000 ล้านบาท เราอาจจะเทียบไม่ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นการเติบโตที่ค่อนข้างน่าพอใจ เพราะฉะนั้นการตัดสินของศาลโลก ไม่ว่าจะเป็นในทิศทางใดก็ตาม ตนเชื่อว่าจะไม่ทำให้การค้าบริเวณด่านช่องสะงำซบเซา หรือไม่ดีขึ้น สาเหตุที่จะทำให้ซบเซาก็คือมีการปะทะกันเท่านั้น

ส่วนในอนาคตเรื่องการพัฒนาพื้นที่อาจจะเป็นการพัฒนาร่วมกัน ซึ่งตนก็หวังว่าจะเป็นลักษณะนั้น ก็อาจจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว อาจจะทำมูลค่าให้ธุรกิจการท่องเที่ยวของ จ.ศรีสะเกษในเบื้องต้นปีละประมาณ 200-300 ล้านบาท หลังจากนั้นจะค่อยๆ เติบโตขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น