ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - “หลวงพ่อคูณ” อาการทรุด! แพทย์ระบุติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะทำให้มีไข้สูง อาเจียนและสำลัก เกิดภาวะหลอดลมอักเสบซ้ำอีก แต่ไม่หนักเท่าครั้งแรก เผยล่าสุดอาการดีขึ้นตอบสนองต่อการรักษา ระบุต้องใส่ท่อปัสสาวะตลอดชีวิตแม้เสี่ยงติดเชื้อแต่เป็นผลดีมากกว่า ยันคณะแพทย์รับมือไหวไม่ย้ายไป รพ.ศิริราช
วันนี้ (14 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าอาการอาพาธของพระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ) เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ที่พักรักษาอยู่ที่ห้องผู้ป่วยพิเศษ 9821 อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 8 โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา ด้วยภาวะหลอดลมอีกเสบ ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย. 2555 รวมเป็นเวลานาน 1 เดือน 16 วันแล้วนั้น
ล่าสุดวันนี้ เวลา 16.00 น. นพ.พินิศจัย นาคพันธุ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ซึ่งเป็นแพทย์ประจำตัวหลวงพ่อคูณ เปิดเผยว่า อาการของหลวงพ่อคูณแย่ลง เนื่องจากเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมาหลวงพ่อมีอาการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะเข้าไปอีก
จากนั้นมีอาการอาเจียน ก่อนลำลักน้ำย่อยลงไปในปอดทำให้เกิดภาวะหลอดลมอักเสบอีก แต่อาการครั้งนี้ไม่หนักเท่ากับครั้งแรก ขณะนี้ได้ให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำ ซึ่งเป็นยาฆ่าเชื้อ ทำให้อาการท่านเริ่มดีขึ้น ไข้มีแนวโน้มลดลงเหลือ 36.8 องศาเซลเซียส รู้ตัว รู้เรื่อง ตอบโต้ได้ แต่ยังมีเสลด เสมหะอยู่มาก
นพ.พินิศจัยกล่าวต่อว่า หลวงพ่อคูณมีปัญหาเรื่องของการปัสสาวะ ไม่สามารถปัสสาวะเองได้ แพทย์ต้องใส่ท่อสวนปัสสาวะให้ตั้งแต่วันแรกที่เข้าโรงพยาบาลเนื่องจากท่านไม่รู้สึกมีอาการปวดปัสสาวะ ซึ่งเป็นผลมาจากระบบสมองที่ท่านเคยผ่านการผ่าตัดมาแล้ว ประกอบกับท่านอายุมากถึง 90 ปี เคยผ่านการบายพาสหัวใจมานานกว่า 13 ปีแล้ว ซึ่งคนปกติ 10 ปีก็จะมีปัญหา และท่านยังมีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นโรคพาร์กินสัน โรคเบาหวาน และเคยป่วยเป็นวัณโรคปอดทำให้ปอดแฟบมีผลต่อระบบการหายใจ และมีอีกหลายโรคที่ท่านเป็นอยู่ และยังมีปัจจัยภายนอกคือเรื่องสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นภาวะแทรกซ้อนต่างๆ สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลากับคนไข้อายุมากและมีโรคประจำตัวมากขนาดนี้
สำหรับการใส่ท่อสวนปัสสาวะให้หลวงพ่อคูณนั้น จะช่วยให้ท่านปัสสาวะออกมาได้ เพราะหากท่านไม่ปัสสาวะก็จะมีผลต่อไตอาจทำให้ไตวายได้ แต่ต้องยอมรับว่าการใส่ท่อสวนปัสสาวะเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น แต่เมื่อประเมินแล้วมีผลดีมากกว่าผลเสียต่อหลวงพ่อคณะแพทย์ก็ดำเนินการ และคาดว่าจะต้องใส่ให้ท่านไปตลอดชีวิตด้วย
“อย่างไรก็ตาม หากประเมินอาการในขณะนี้ มั่นใจว่าคณะแพทย์ที่รักษาสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เพราะหลวงพ่อมีการตอบสนองต่อการรักษา และมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง และยังไม่จำเป็นจะต้องย้ายไปโรงพยาบาลศิริราชแต่อย่างใด ซึ่งคงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะถือว่ายังไม่น่าไว้วางใจ และประเมินการรักษาแบบวันต่อวันต่อไป” นพ.พินิศจัยกล่าว