ระยอง - เครือข่ายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร้องสื่อตรวจสอบนายทุนตั้งเครื่องดูดทรายคลองกระแสบน ส่งผลกระทบระบบนิเวศเสียหาย
วันนี้ (14 ม.ค.) นายบุญธรรม เครือวัลย์ อายุ 51 ปี บ้านเลขที่ 4/2 หมู่ 7 ต.กระแสบน อ.แกลง จ.ระยอง เครือข่ายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตำบลกระแสบน ร้องสื่อกรณีมีนายทุนติดตั้งเครื่องดูดทรายบริเวณคลองกระแสบน ด้านทิศตะวันตกพื้นที่หมู่ 8 ต.ชุมแสง อ.วังจันทร์
ส่วนฝั่งตรงข้ามด้านทิศตะวันออกติดพื้นที่ หมู่ 7 ต.กระแสบน อ.แกลง ส่งผลกระทบจากการดูดทรายทำให้ระบบนิเวศริมคลองกระแสบน ซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณที่ดูดทรายประมาณ 700 เมตร ซึ่งเป็นป่าผักกูด และผักหนามขึ้นเต็มไปหมดได้รับความเสียหาย
ทั้งนี้ ต้นไผ่บริเวณริมตลิ่งตามแนวยาวคลองกระแสบนพังเสียหาย เนื่องจากทรายริมตลิ่งจะเลื่อนไหลลงไปสู่ที่ต่ำ สัตว์น้ำ เช่น หอยได้รับกระทบจากตระกอนทรายก็หนีหายหมด รวมทั้งทำให้น้ำในคลองขุ่นเป็นระยะทางไกลส่งผลกระทบเกษตรกรชาวสวน เนื่องจากเครื่องดูดทรายจะดูดเอาพวกสัตว์น้ำ และทรายปะปนกันเข้าไปด้วย และก็คายเอาสิ่งที่ไม่ต้องการออก เหลือเพียงแต่ทรายเท่านั้น สิ่งไหนที่ใช้งานไม่ได้ก็ปล่อยทิ้งลงคลองเหมือนเดิม
นายบุญธรรม กล่าวด้วยว่า เจ้าของที่ดินติดคลองกระแสบนที่ได้รับผลกระทบจากการดูดทราย ทำให้ผนังคอนกรีตสร้างกันดินริมตลิ่งพังทลายได้รับความเสียหาย เพราะมีการกัดเซาะตลิ่งลึกเข้าไปในพื้นที่เป็นแนวยาว แต่ชาวบ้านไม่กล้าที่จะร้องเรียนหน่วยงานราชการ เพราะเกรงอิทธิพลของนายทุน ในส่วนของเครือข่ายดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะทนนิ่งดูดายไม่ได้ นี่คือสาเหตุที่ต้องร้องสื่อเข้ามาช่วย
เนื่องจากเมื่อเร็วๆ นี้ ได้ร้องเรียนด้วยวาจาต่อปลัดอาวุโสอำเภอแกลง และนายอนุรุธ บุญเหลือ นายกเทศมนตรีตำบลกระแสบน ให้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า การติดตั้งเครื่องดูดทรายบริเวณดังกล่าวมีการขออนุญาตหรือไม่ และเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาที่ชาวบ้านได้รับผลกระทบด้วย
ที่ผ่านมา มักมีนายทุนเข้าติดตั้งเครื่องดูดทรายในคลองกระแสบนจำนวนหลายจุด แต่ก็ไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบเข้ามาดูแล ส่วนนายทุนรายนี้ชาวบ้านบอกว่าเป็นอดีตผู้นำชุมชนคนดังคนหนึ่งในตำบลกระแสบน เข้ามาซื้อที่ดินริมคลองฝั่งพื้นที่หมู่ 8 ต.ชุมแสง อ.วังจันทร์ กว่า 20 ไร่ ทำธุรกิจดูดทรายขายอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
ด้านนายเวรัชช์ ธาราสมบัติ นายอำเภอวังจันทร์ กล่าวยืนยันว่า ในพื้นที่หมู่ 8 ต.ชุมแสง ไม่มีการขออนุญาตดูดทรายแต่อย่างใด หลังทราบข่าวได้กำชับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว