เลย - ตำรวจน้ำเมืองเลยซุ่มดักจับ 2 หนุ่มเชียงคานลอบขนข้าวเปลือก 13 กระสอบปุ๋ยขึ้นฝั่งไทย สารภาพแค่รับจ้างขนส่งให้โรงสีข้าวบ้านธาตุ ต.ธาตุ อ.เชียงคาน เผยพื้นที่ชายแดนเมืองเลยมีแนวโน้มลักลอบขนข้าวเปลือกจากฝั่งลาวเพิ่มมากขึ้น เชื่อหวังสวมสิทธิจำนำ
วันนี้ (26 พ.ย.) ที่สถานีเรือเชียงคาน อ.เชียงคาน จ.เลย น.อ.ดุสิต จันทราช ผบ.นรข.เขตหนองคาย และ น.ต.วิรพงค์ เจนจรัสชีวกุล หน.สถานีเรือเชียงคาน นำของกลางข้าวเปลือกบรรจุถุงจำนวน 13 กระสอบ รถยนต์กระบะโตโยต้า ทะเบียน บท 6444 เลย พร้อมนายจิระพงศ์ จูมเกตุ อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 6/5 ม.3 ต.เชียงคาน และนายอุทิตย์ ตรงดี อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 4/1 ต.ปากตม อ.เชียงคาน จ.เลย ผู้ต้องสงสัยจะเป็นพ่อค้าลักลอบนำข้าวเปลือกจาก สปป.ลาว เพื่อนำไปสวมสิทธิในการรับจำนำ แต่ผู้ต้องหาบอกว่าเป็นเพียงคนรับจ้างขนเท่านั้น
น.อ.ดุสิต จันทราช ผบ.นรข.เขตหนองคาย กล่าวถึงการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 ข้างต้นว่า สืบเนื่องจาก พล.ร.ต.รังสรรค์ โตอรุณ ผบ.รนข.จ.เลย ได้รับแจ้งว่าจะมีการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรจาก สปป.ลาวเข้ามาในฝั่งไทยโดยไม่ผ่านพิธีทางศุลกากร จึงได้มอบให้ น.ต.วิรพงค์ เจนจรัสชีวกุล หัวหน้าสถานีเรือเชียงคาน นำกำลังเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งไปดักซุ่มบริเวณบ้านหาดแห่ ต.ปากตม อ.เชียงคาน ตามที่สายรายงานอยู่ตรงข้ามบ้านผาลาด สปป.ลาว
โดยกำลังเจ้าหน้าที่ออกลาดตระเวนและดักซุ่มหาข่าว ณ ท่าจอดเรือบ้านหาดแห่ หมู่ที่ 5 ต่อมาเวลาประมาณ 19.30 น..วานนี้ (25 พ.ย.) พบรถยนต์และบุคคลต้องสงสัย กำลังลำเลียงสิ่งของบางอย่างจากเรือขึ้นรถยนต์กระบะจำนวน 2 คัน จึงประสานขอรับการสนับสนุนไปยังหน่วยเพื่อสกัดเส้นทางที่คาดว่ารถบรรทุกสิ่งของจะวิ่งผ่าน พร้อมแสดงตัวเข้าตรวจค้น
กลุ่มบุคคลดังกล่าวเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่จึงพยายามหลบหนี กลุ่มที่อยู่ในเรือได้ผลักเรือออกจากฝั่งหนีไปยังฝั่ง สปป.ลาว และรถยนต์กระบะบรรทุก 1 ใน 2 คันขับหลบหนีไปก่อนที่ชุดสกัดมาถึง
อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจค้นรถยนต์กระบะที่ไม่สามารถขับหนีได้ทันพบของกลางในกระบะเป็นข้าวเปลือกจำนวน 13 กระสอบปุ๋ย พร้อมกับชายสองคนดังกล่าวข้างต้น
สอบสวนเบื้องต้น ชายทั้งสองคนให้การว่าเป็นเพียงคนรับจ้างขนไปส่งให้โรงสีข้าวบ้านธาตุ ต.ธาตุ อ.เชียงคาน จ.เลย เท่านั้น เจ้าหน้าที่จึงนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เชียงคาน และด่านศุลกากรเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
ทั้งนี้ กระบวนการขนสินค้าทางการเกษตร เช่นข้าวเปลือกจากประเทศเพื่อนบ้านนั้น ปัจจุบันมีการลักลอบมากขึ้นในจังหวัดเลย โดยเฉพาะพื้นที่แนวชายแดนริมน้ำโขง ซึ่งจังหวัดเลยนั้นมีพื้นที่ติดลำน้ำโขงกับประเทศเพื่อนบ้านถึง 193 กิโลเมตร จึงทำให้เป็นการยากในการจับกุม แต่เมื่อมีความเข้มงวดในการสกัดกั้นก็ทำให้มีการจับกุมในครั้งนี้ได้
วันนี้ (26 พ.ย.) ที่สถานีเรือเชียงคาน อ.เชียงคาน จ.เลย น.อ.ดุสิต จันทราช ผบ.นรข.เขตหนองคาย และ น.ต.วิรพงค์ เจนจรัสชีวกุล หน.สถานีเรือเชียงคาน นำของกลางข้าวเปลือกบรรจุถุงจำนวน 13 กระสอบ รถยนต์กระบะโตโยต้า ทะเบียน บท 6444 เลย พร้อมนายจิระพงศ์ จูมเกตุ อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 6/5 ม.3 ต.เชียงคาน และนายอุทิตย์ ตรงดี อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 4/1 ต.ปากตม อ.เชียงคาน จ.เลย ผู้ต้องสงสัยจะเป็นพ่อค้าลักลอบนำข้าวเปลือกจาก สปป.ลาว เพื่อนำไปสวมสิทธิในการรับจำนำ แต่ผู้ต้องหาบอกว่าเป็นเพียงคนรับจ้างขนเท่านั้น
น.อ.ดุสิต จันทราช ผบ.นรข.เขตหนองคาย กล่าวถึงการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 ข้างต้นว่า สืบเนื่องจาก พล.ร.ต.รังสรรค์ โตอรุณ ผบ.รนข.จ.เลย ได้รับแจ้งว่าจะมีการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรจาก สปป.ลาวเข้ามาในฝั่งไทยโดยไม่ผ่านพิธีทางศุลกากร จึงได้มอบให้ น.ต.วิรพงค์ เจนจรัสชีวกุล หัวหน้าสถานีเรือเชียงคาน นำกำลังเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งไปดักซุ่มบริเวณบ้านหาดแห่ ต.ปากตม อ.เชียงคาน ตามที่สายรายงานอยู่ตรงข้ามบ้านผาลาด สปป.ลาว
โดยกำลังเจ้าหน้าที่ออกลาดตระเวนและดักซุ่มหาข่าว ณ ท่าจอดเรือบ้านหาดแห่ หมู่ที่ 5 ต่อมาเวลาประมาณ 19.30 น..วานนี้ (25 พ.ย.) พบรถยนต์และบุคคลต้องสงสัย กำลังลำเลียงสิ่งของบางอย่างจากเรือขึ้นรถยนต์กระบะจำนวน 2 คัน จึงประสานขอรับการสนับสนุนไปยังหน่วยเพื่อสกัดเส้นทางที่คาดว่ารถบรรทุกสิ่งของจะวิ่งผ่าน พร้อมแสดงตัวเข้าตรวจค้น
กลุ่มบุคคลดังกล่าวเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่จึงพยายามหลบหนี กลุ่มที่อยู่ในเรือได้ผลักเรือออกจากฝั่งหนีไปยังฝั่ง สปป.ลาว และรถยนต์กระบะบรรทุก 1 ใน 2 คันขับหลบหนีไปก่อนที่ชุดสกัดมาถึง
อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจค้นรถยนต์กระบะที่ไม่สามารถขับหนีได้ทันพบของกลางในกระบะเป็นข้าวเปลือกจำนวน 13 กระสอบปุ๋ย พร้อมกับชายสองคนดังกล่าวข้างต้น
สอบสวนเบื้องต้น ชายทั้งสองคนให้การว่าเป็นเพียงคนรับจ้างขนไปส่งให้โรงสีข้าวบ้านธาตุ ต.ธาตุ อ.เชียงคาน จ.เลย เท่านั้น เจ้าหน้าที่จึงนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เชียงคาน และด่านศุลกากรเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
ทั้งนี้ กระบวนการขนสินค้าทางการเกษตร เช่นข้าวเปลือกจากประเทศเพื่อนบ้านนั้น ปัจจุบันมีการลักลอบมากขึ้นในจังหวัดเลย โดยเฉพาะพื้นที่แนวชายแดนริมน้ำโขง ซึ่งจังหวัดเลยนั้นมีพื้นที่ติดลำน้ำโขงกับประเทศเพื่อนบ้านถึง 193 กิโลเมตร จึงทำให้เป็นการยากในการจับกุม แต่เมื่อมีความเข้มงวดในการสกัดกั้นก็ทำให้มีการจับกุมในครั้งนี้ได้