ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ป.ป.ส.ขนทรัพย์สินเครือ “ดาบมนัส” โชว์สื่อ คาดทั้งเครือข่ายมีหมุนเวียนกว่า 700 ล้านบาท “พงศพัศ” เผยเตรียมขยายผลตามผู้เกี่ยวข้องอีก 27 ราย ระบุหากไม่รีบมาชี้แจงถ้าพบทรัพย์สินมีเอี่ยวค้ายายึดทั้งหมด พอใจทลายเครือข่าย “ดาบมนัส-อาจง” ทำยาบ้าลดวูบ พร้อมสั่งการ ตร.ภาค 5 เร่งล่าตัว “เจ๊เพ็ญ” คนสั่งการ พร้อมเตรียมนำข้อมูลยาเสพติดหารือฝั่งพม่ากับประสานขอรับตัว “สมชัย รักยอดยิ่ง” ผู้ต้องหาคดีซูโดฯ กลับมาดำเนินคดี
วันนี้ (5 พ.ย.) ที่โกดังเก็บทรัพย์ สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 5 พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เป็นประธานแถลงข่าวการขยายผลยึดทรัพย์ขบวนการค้ายาเสพติดเครือข่ายของ ด.ต.มนัส เสือโพธิ์ อดีตตำรวจ สน.ประชาชื่น ผู้ต้องหาคดีขับรถขนยาบ้า 1,280,000 เม็ด และยาไอซ์ 5 กิโลกรัม จากชายแดนภาคเหนือเข้ามายังกรุงเทพมหานคร
โดยทรัพย์สินทั้งหมดจากเครือข่ายของ ด.ต.มนัสและผู้ร่วมขบวนการที่ยึดได้นั้นมีทั้งเงินฝากในบัญชีธนาคาร รถยนต์ รถจักรยานยนต์ บ้านพร้อมที่ดิน คอนโดมิเนียม ทองแท่งและทองรูปพรรณ ตู้นิรภัย อาวุธปืน และทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ อีกหลายรายการ รวมทั้งสิ้นประมาณ 170,815,573.81 บาท โดยแบ่งเป็นทรัพย์สินของนายฐิติ เพ็งสุข ประมาณ 7,236,335.39 บาท ด.ต.มนัส เสือโพธิ์ ประมาณ 44,703,382.52 บาท นายสถิต แสงหล้า และนางบัวไข แสงหล้า ประมาณ 30,785,284.71 บาท นายประวิน ทวยภา และนาสุชาดา ทวยภา ประมาณ 61,326,912.97 บาท นายระพิน คำแฝง และนางสุเทพ คำแฝง ประมาณ 2,904,829.11 บาท นายรุ่งโรจน์ เลิศปัญญาเพชร ประมาณ 21,653,829.11 บาท และนายกฤษดา เกตุประทุม ประมาณ 2,205,000 บาท ขณะที่จำนวนทรัพย์สินทั้งหมด ทั้งในส่วนที่มีการยึดหรืออายัด และยังมีการหมุนเวียนอยู่ภายในเครือข่ายของ ด.ต.มนัสนั้นคาดว่าจะมีสูงถึงกว่า 700 ล้านบาท
พล.ต.อ.พงศพัศกล่าวว่า การตรวจยึดทรัพย์สินที่ได้ในครั้งนี้เป็นการขยายผลจากคดีของ ด.ต.มนัส โดยนายรุ่งโรจน์ เลิศปัญญาเพชร หรือเฮียใหญ่นั้นถือเป็นต้นทางของเครือข่ายที่ทำหน้าที่จัดหายาเสพติดมาจากต่างประเทศ โดยมีนายประวิน ทวยภา และนางสุชาดา ทวยภา หรือเจ๊เพ็ญ เป็นผู้สั่งการในการขนยาเสพติด ส่วน ด.ต.มนัส และบุคคลอื่นๆ ที่ถูกยึดทรัพย์จะทำหน้าที่ในการลำเลียงยาเสพติด นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังพบว่ามีผู้ที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายดังกล่าวอีกรวม 27 ราย
โดยบางคนแม้จะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการลำเลียงหรือจำหน่ายยาเสพติด แต่มีทรัพย์สินที่คาดว่าจะได้มาจากรายได้จากการค้ายาเสพติด ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะติดตามข้อมูลความเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้ พร้อมทั้งทยอยตั้งข้อหาสมทบและออกหมายจับต่อไป ขณะที่ทรัพย์สินที่ยึดได้บางส่วนจะต้องมีการขยายผลติดตามนำเงินที่ใช้ซื้อทรัพย์สินกลับคืนมาด้วย เนื่องจากถือเป็นเงินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติดเช่นกัน
พล.ต.อ.พงศพัศกล่าวต่อไปว่า ในระหว่างนี้หากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการของ ด.ต.มนัสต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือทรัพย์สินที่ครอบครองไม่มีความเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดของเครือข่าย ด.ต.มนัส ก็สามารถเข้ามาชี้แจงต่อทาง ป.ป.ส.ได้ เพราะหาก ป.ป.ส.ทำการตรวจสอบแล้วพบว่าไม่สามารถระบุที่มาของทรัพย์สินได้ หรือพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายของ ด.ต.มนัส ก็จะถูกยึดหรืออายัดทันที
ส่วนการติดตามตัวนางสุชาดา หรือเจ๊เพ็ญ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญในขบวนการดังกล่าวนั้น ได้สั่งการให้ตำรวจภูธรภาค 5 เร่งสืบสวนและติดตามตัวแล้ว คาดว่าภายใน 2-3 วันต่อจากนี้น่าจะมีความชัดเจนในเรื่องดังกล่าว โดยจากการตรวจสอบล่าสุดเชื่อว่านางสุชาดาจะยังหลบหนีอยู่ในประเทศไทย
เลขาธิการ ป.ป.ส.ระบุว่า ปริมาณยาเสพติดที่เครือข่ายของ ด.ต.มนัสลักลอบนำเข้ามาจำหน่ายนั้นคาดว่ามีจำนวนถึงกว่า 40 ล้านเม็ด ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถติดตามจับกุมได้แล้วประมาณ 20 ล้านเม็ด อย่างไรก็ตาม การทลายเครือข่ายของ ด.ต.มนัสและเครือข่ายของนายอาจง ซึ่งถือเป็นสองเครือข่ายสำคัญที่นำยาเสพติดเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพมหานคร ทำให้ปริมาณยาเสพติดในพื้นที่ตอนกลางของประเทศลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยจากการตรวจสอบพบว่ากลุ่มผู้ค้ารายย่อยได้ลดปริมาณลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลังจากนี้นอกจากการติดตามตัวเจ๊เพ็ญมาดำเนินคดีแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 5 และ ป.ป.ส.จะติดตามดูความเคลื่อนไหวของเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่อีก 4 เครือข่ายในพื้นที่ภาคเหนืออย่างใกล้ชิดด้วย
นอกจากนี้ เลขาธิการ ป.ป.ส.ยังกล่าวด้วยว่า จากการนำยาเสพติดที่ยึดได้ไปตรวจสอบที่ห้องแล็บของ ป.ป.ส. พบว่ายาเสพติดที่เครือข่าย ด.ต.มนัสนำมาจำหน่ายนั้นมีที่มาจากแหล่งผลิตรายใหญ่ที่เป็นที่รู้จักกันดีในประเทศเพื่อนบ้าน โดยผู้ผลิตกลุ่มดังกล่าวมีโรงงานผลิตยาเสพติดขนาดใหญ่ถึง 2 โรงงาน ซึ่งข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ ตนในฐานะเลขาธิการ ป.ป.ส.จะได้นำเข้าหารือกับผู้บัญชาการตำรวจและหน่วยงานด้านการปราบปรามยาเสพติดของเมียนมาร์ในวันที่ 12 พ.ย.ที่จะถึงนี้
นอกจากนี้ ในการประชุมดังกล่าว ตนจะหารือกับทางเมียนมาร์เพื่อขอรับตัวนายสมชัย รักยอดยิ่ง ผู้ต้องหาในคดียาซูโดอีเฟรดีน ที่หลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และในขณะนี้ถูกควบคุมตัวอยู่ในประเทศเมียนมาร์ เพื่อนำตัวกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยต่อไป