ศูนย์ข่าวภาคเหนือ - ชาวนาพิจิตรเริ่มตัดใจขายทิ้งใบประทวนให้คนรู้จักเกวียนละพัน ปล่อยให้ใช้สวมสิทธิกันตามสะดวก ก่อนขายข้าวตัดสดให้โรงสี ทิ้งส่วนต่างเห็นๆ 3 พันต่อตัน หลังเงิน “จำนำข้าว” จ่ายสุดช้าจนดอกเบี้ยตามตูด-หมดเงินลงทุนทำนารอบใหม่ ขณะที่สหกรณ์วชิรบารมีฯ ต้องประกาศ “หยุดรับซื้อข้าวรอบใหม่” รอค่าข้าวเปลือกรอบก่อนให้ได้ครบก่อน
นายบุญเลิศ จรงธรรม อยู่บ้านเลขที่ 74 ม.4 ส.อบต.บึงบัว อ.วชิรบารมี จ.พิจิตร เปิดเผยว่า ตนทำนากับลูกชาย 105 ไร่ โดยทำนาปีละ 2 รอบ ฤดูกาลผลิต 54/55 ที่ผ่านมาได้ข้าว 90 ไร่ ขายข้าวไปยังโรงสีเมื่อต้นเดือนกันยายน 55 ที่สหกรณ์วชิรบารมี และโรงสีทรัพย์ทวี ซึ่งเป็นโรงสีเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าว ได้ราคาข้าวตันละ 11,900-11,200 บาท จำนวน 79 ตัน
แต่ ณ วันนี้ยังไม่ได้รับเงินจาก ธ.ก.ส. ซึ่งนั่นคือปัญหาใหญ่ จำนวนเงินก้อนใหญ่เกือบ 1 ล้านบาทยังไม่ได้ แต่ปัจจุบันต้องหาเงินมาลงทุนทำข้าวนาปรังรอบใหม่ โดยลงทุนไปแล้ว 3 แสนบาท แยกเป็นการลงทุนดำนาไร่ละ 1,300 บาท ปลูกข้าวไร่ละ 440 บาท ค่าปั่นนาไร่ละ 500 บาท ค่าปุ๋ยไร่ละ 800 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณไร่ละ 3,000 บาทขึ้นไป ไม่รวมค่าน้ำดีเซลสำหรับการชักน้ำเข้านา
เขาบอกว่า หากเป็นเกษตรกรรายอื่นต้องกู้เงินมาลงทุนนับแสนๆ บาท โดยที่เงินขายข้าวตามโครงการรับจำนำข้าวไปแล้วยังไม่ตกถึงมือชาวนา ถามว่าโครงการรับจำนำดีไหม ก็บอกว่าราคาพออยู่ได้ แต่ขอให้เงินคล่องตัวกว่านี้ เพราะชาวนาหลายคนประสบปัญหาเหมือนๆ กัน คือ เกี่ยวข้าวขายข้าวไปยังโรงสี 2 เดือนกว่าแล้วยังไม่ได้เงิน ชาวนาส่วนใหญ่ร้องว่าไม่มีกินแล้ว เงินออกช้า นี่คือข้อเสียของโครงการรับจำนำ
“ร้านค้าปุ๋ยหรือร้านค้าในหมู่บ้านมียอดหนี้ชาวบ้านค้างเพียบ”
ปัญหาดังกล่าวทำให้ชาวนาส่วนใหญ่ต้องตัดใจขายเอาเงินสดแทนรับจำนำข้าว ซึ่งราคาข้าวถูกโรงสีตัดสด ราคาเฉลี่ยตันละ 8,000 บาท ยอมเสียส่วนต่าง 3 พันบาทต่อตัน เพื่อแลกกับค่าดอกเบี้ย ซึ่งถือว่าพอๆ กัน
ส่วนโรงสีจะเอาข้าวจากแหล่งอื่นเข้ามาสวมแทนหรือไม่ เราไม่รู้ เป็นเรื่องของโรงสี และหากโครงการรับจำนำข้าวยังเป็นอย่างนี้ต่อไป ชาวนาจะทยอยแบ่งส่วนยกเลิกข้าวในโครงการรับจำนำข้าวเปลี่ยนเป็นขายตัดสด หาเงินมาหนุนกันมากขึ้น ทั้งๆ ที่เริ่มแรกก็เอาข้าวไปขายโรงสีตามโครงการรับจำนำหมด ก็หันมาตกลงกับโรงสีว่าขอตัดสดบางส่วนเพื่อเอาเงินสดไปชำระค่าเกี่ยวข้าวและลงทุนปลูกข้าวรอบใหม่
นอกจากนี้ ล่าสุดก็เริ่มมีเกษตรกรชาวนาพิจิตรขายใบประทวนกับคนใกล้ชิดในหมู่บ้านในราคา 1,000 บาทต่อตัน เนื่องจากเป็นการซื้อขายระหว่างคนรู้จักโดยที่โรงสีไม่เกี่ยวข้อง คิดเพียงว่าขอมีเงินสดติดมือดีกว่า จึงตัดใจทิ้ง “ใบประทวน” ส่วนข้าวที่ขายไปยังโรงสีที่เข้าร่วมโครงการก่อนหน้านี้ก็ตัดเป็นราคาเงินสดแทน ซึ่งก็ไม่ได้มีการเคลื่อนย้ายข้าวเปลือกในโรงสีนั้นๆ และคิดว่าโรงสีคงพอมีกำไรส่วนต่างเพราะสามารถเอาข้าวมาสวมสิทธิของชาวนาที่ตัดสินใจยกเลิกโครงการเปลี่ยนเป็นขายข้าวตัดสดได้
“ยืนยันว่าที่ อ.วชิรบารมีไม่น้อยกว่า 2-3 รายเอาใบประทวนไปขายกับญาติๆ ชาวนาในพื้นที่อัตราเกวียนละ 1,000 บาท ยิ่งเงินโครงการจำนำข้าวออกช้าเท่าใด ชาวนาก็เร่ขายใบประทวน เร่งตัดสดขายข้าวทิ้ง ทั้งๆ ที่ข้าวเปลือกก็นอนอยู่ในโกดังเหมือนเดิม แต่ไม่รู้ว่าใครเอาสิทธิใบประทวนไปทำอะไรต่อ" ส.อบต.บึงบัวกล่าว
ด้านนายสมเกียรติ โสภณพงศ์พิพัฒน์ ผู้จัดการสหกรณ์วชิรบารมี กล่าวว่า เงินโครงการรับจำนำข้าวรอบเก่า 54/55 ยังไม่เข้า ธ.ก.ส. ไม่ตกถึงมือชาวนาที่พิจิตรหลายราย ทำให้ ณ วันนี้ สหกรณ์ฯ ยังไม่ได้เปิดรับโครงการรับจำนำข้าวรอบใหม่ 55/56 โดยชาวบ้านบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าเงินออกช้า ส่งผลให้บรรดาร้านค้าอุปโภคและบริโภคต่างๆ ในหมู่บ้านเริ่มได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่ รวมไปถึงร้านค้าปุ๋ยหรือพันธุ์ข้าวของนายทุนต่างเปิดยอดบิลเงินกู้แก่เกษตรกรผู้เดือดร้อน เพราะเขาจำเป็นต้องหยิบยืนเอาพันธุ์ข้าวหรือปุ๋ยไปลงทุนรอบใหม่