กาญจนบุรี - ผวจ.กาญจนบุรี เตรียมเสนอ มท.1 พิจารณาไล่ออกนายกเทศมนตรีตำบลท่าไม้ หลังถูกจับปาร์ตี้ยาไอซ์ และสั่งให้ออกผู้ช่วย ผญบ.อีกราย
จากการที่เมื่อกลางดึกของวันที่ 24 ต.ค.ที่ผ่านมา พ.ต.ท.บุญเลิศ ปานโต สารวัตรกองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามยาเสพติด 4 (สว.กก.1 บก.ปส.4) และเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัดกาญจนบุรี (นปส.กจ.) ได้จับกุมนายพรรษา สายทอง อายุ 37 ปี นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลท่าไม้ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ในข้อหาร่วมกันเสพยาไอซ์ และนายสราวุธ วงษ์ใจดี อายุ 33 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 17 ตำบลรางหวาย อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ครอบครองยาไอซ์เพื่อจำหน่าย พร้อมของกลางยาไอซ์ ปืนขนาด 11 มม.จำนวน 1 กระบอก เครื่องกระสุน 19 นัด รถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้า ซีวิค สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน กฉ 339 กาญจนบุรี
ล่าสุด เมื่อเวลา 13.30 น.วันนี้ (26 ต.ค.) นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยว่า หลังจากทราบข่าวตนได้เร่งสั่งการให้ท้องถิ่นจังหวัด ป้องกันจังหวัด และปลัดจังหวัด รายงานข้อเท็จจริงให้ตนทราบโดยด่วนที่สุดตั้งแต่วานนี้ พร้อมนำเสนอระเบียบ และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาเพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาดำเนินการกับผู้กระทำผิด
ทั้งนี้ เนื่องจากนายพรรษา สายทอง ที่ถูกจับกุมไม่ใช่บุคคล หรือประชาชนคนธรรมดาทั่วไป แต่มีตำแหน่งเป็นถึงนายกเทศมนตรี ส่วนนายสราวุธ วงษ์ใจดี ก็มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ดังนั้น จะต้องดำเนินการอย่างเต็มที่ และเฉียบขาด ไม่มีการละเว้นอย่างแน่นอน โดยในส่วนของผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านออกจากราชการไว้ก่อน แต่ส่วนนายกเทศมนตรีนั้นต้องพิจารณาตามระเบียบที่บัญญัติไว้ในมาตรา 73 ของ พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ.2496 ซึ่งหากพบว่า นายกเทศมนตรี หรือประธานสภา มีการกระทำผิดที่อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อราชการ หรือสาธารณะ ให้รวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานเสนอต่อ รมว.มหาดไทย เพื่อพิจารณาสั่งการให้ออกจากราชการ ซึ่งตรงนี้เป็นอำนาจของรัฐมนตรีเท่านั้น
ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวท้ายสุดว่า ในส่วนของตนถือว่ากรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้อง หรือพัวพันกับยาเสพติด ตนได้สั่งกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้มงวดกวดขันอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด โดยเฉพาะกับฝ่ายปกครอง แต่ก็ยังปล่อยปละละเลยกันอยู่ ซึ่งควรจะต้องเข้มงวดในเรื่องนี้อย่างที่สุด โดยเฉพาะกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ และหากพบว่า มีการกระทำผิดชัดเจนก็ให้ออกจากราชการไว้ก่อน เพราะหากยังอยู่ในตำแหน่งก็อาจใช้ตำแหน่งไปหาประโยชน์ในทางที่ผิดต่อไปอีก ดังนั้น จึงไม่ควรปล่อยให้บุคคลเหล่านี้กระทำผิดกฎหมายบ้านเมืองได้อีก โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ไปพัวพันเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติดทุกชนิด จะต้องได้รับโทษอย่างหนักเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ประชาชน และเยาวชนทั่วไป
จากการที่เมื่อกลางดึกของวันที่ 24 ต.ค.ที่ผ่านมา พ.ต.ท.บุญเลิศ ปานโต สารวัตรกองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามยาเสพติด 4 (สว.กก.1 บก.ปส.4) และเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัดกาญจนบุรี (นปส.กจ.) ได้จับกุมนายพรรษา สายทอง อายุ 37 ปี นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลท่าไม้ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ในข้อหาร่วมกันเสพยาไอซ์ และนายสราวุธ วงษ์ใจดี อายุ 33 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 17 ตำบลรางหวาย อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ครอบครองยาไอซ์เพื่อจำหน่าย พร้อมของกลางยาไอซ์ ปืนขนาด 11 มม.จำนวน 1 กระบอก เครื่องกระสุน 19 นัด รถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้า ซีวิค สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน กฉ 339 กาญจนบุรี
ล่าสุด เมื่อเวลา 13.30 น.วันนี้ (26 ต.ค.) นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยว่า หลังจากทราบข่าวตนได้เร่งสั่งการให้ท้องถิ่นจังหวัด ป้องกันจังหวัด และปลัดจังหวัด รายงานข้อเท็จจริงให้ตนทราบโดยด่วนที่สุดตั้งแต่วานนี้ พร้อมนำเสนอระเบียบ และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาเพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาดำเนินการกับผู้กระทำผิด
ทั้งนี้ เนื่องจากนายพรรษา สายทอง ที่ถูกจับกุมไม่ใช่บุคคล หรือประชาชนคนธรรมดาทั่วไป แต่มีตำแหน่งเป็นถึงนายกเทศมนตรี ส่วนนายสราวุธ วงษ์ใจดี ก็มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ดังนั้น จะต้องดำเนินการอย่างเต็มที่ และเฉียบขาด ไม่มีการละเว้นอย่างแน่นอน โดยในส่วนของผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านออกจากราชการไว้ก่อน แต่ส่วนนายกเทศมนตรีนั้นต้องพิจารณาตามระเบียบที่บัญญัติไว้ในมาตรา 73 ของ พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ.2496 ซึ่งหากพบว่า นายกเทศมนตรี หรือประธานสภา มีการกระทำผิดที่อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อราชการ หรือสาธารณะ ให้รวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานเสนอต่อ รมว.มหาดไทย เพื่อพิจารณาสั่งการให้ออกจากราชการ ซึ่งตรงนี้เป็นอำนาจของรัฐมนตรีเท่านั้น
ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวท้ายสุดว่า ในส่วนของตนถือว่ากรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้อง หรือพัวพันกับยาเสพติด ตนได้สั่งกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้มงวดกวดขันอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด โดยเฉพาะกับฝ่ายปกครอง แต่ก็ยังปล่อยปละละเลยกันอยู่ ซึ่งควรจะต้องเข้มงวดในเรื่องนี้อย่างที่สุด โดยเฉพาะกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ และหากพบว่า มีการกระทำผิดชัดเจนก็ให้ออกจากราชการไว้ก่อน เพราะหากยังอยู่ในตำแหน่งก็อาจใช้ตำแหน่งไปหาประโยชน์ในทางที่ผิดต่อไปอีก ดังนั้น จึงไม่ควรปล่อยให้บุคคลเหล่านี้กระทำผิดกฎหมายบ้านเมืองได้อีก โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ไปพัวพันเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติดทุกชนิด จะต้องได้รับโทษอย่างหนักเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ประชาชน และเยาวชนทั่วไป