xs
xsm
sm
md
lg

บุกจับร้านยาเชียงใหม่แอบขายยาทำแท้ง ตะลึงจัดยาชุดขับลูก-อันตรายถึงตาย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - สสจ.เชียงใหม่พร้อม ตร.ภูธรเมืองนำกำลังบุกร้านขายยาย่านโชตนา หลังสืบทราบแอบซุ่มขายยาทำแท้ง ตะลึงพบทั้งยาทำแท้ง-ยาเสียสาวแถมยาโด๊ปม้า นพ.สสจ.เผยร้านจัดยาชุดอ้างกินขับลูกแต่ผลข้างเคียงอันตรายทั้งตกเลือด-มดลูกแตก ยันยาที่ใช้ทั้งไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา-ห้ามจำหน่าย-ลักลอบนำเข้าผิดกฎหมายชัดเจน ด้านเจ้าของร้านยั๊วะจัดพังป้ายหน้าร้านยับ โวยจ่ายเงินตำรวจเดือนละ 4,000 แต่ยังโดนซิว

วันนี้ (10 ต.ค.55) นายแพทย์วัฒนา กาญจนกามล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมคณะจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ และเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ เข้าทำการตรวจค้นร้านขายยา ป.เภสัช เลขที่ 28/13 ถ.โชตนา ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ หลังได้รับข้อมูลว่าร้านดังกล่าวลักลอบจำหน่ายยาทำแท้งและยาที่ได้ได้รับอนุญาตอื่นๆ

จากการตรวจค้นภายในร้านพบว่า มีการจำหน่ายยาชุดสำหรับใช้ในการทำแท้ง ซึ่งตัวยาที่ใช้ยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนตำรับยา หรือเป็นยาที่ไม่ได้รับอนุญาตให้จำหน่าย เช่น ยาไซโตเทคและยาอาร์ยู 486 นออกจากนี้ยังพบว่ามีการจำหน่ายยาเสียสาวหรืออัลปราโซแลม และยาสำหรับใช้กับสัตว์อีกหลายรายการ จึงได้อายัดยาทั้งหมดพร้อมควบคุมตัวนายประเสริฐ ภูสิทธ์ เจ้าของร้านและเภสัชกรไปทำการสอบสวน

ทั้งนี้ ในระหว่างการเข้าตรวจค้นภายในร้าน นายประเสริฐได้แสดงความไม่พอใจที่ถูกตรวจค้นร้าน โดยอ้างว่าได้จ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จาก ป.ป.ส. ในอัตราเดือนละ 4,000 บาทไปแล้ว อีกทั้งหลังจากเจ้าหน้าที่ทำการอายัดของกลางทั้งหมด นายประเสริฐยังบันดาลโทสะดึงป้ายแจ้งการเป็นสถานที่จำหน่ายยาแผนปัจจุบันและระบุชื่อเภสัชกรที่ติดไว้ทางด้านหน้าร้านมาทุบทำลายอีกด้วย

การเข้าจับกุมร้านขายยาดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ในครั้งนี้ สืบเนื่องจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ได้รับรายงานจากแพทย์ประจำโรคพยาบาลหลายแห่งว่า พบเหตุผู้ป่วยตั้งครรภ์ที่มีอาการตกเลือดมาเข้ารับการรักษาหลายราย

จากการสอบถามทราบว่าเป็นผลมาจากการรับประทานยา เพื่อพยายามทำแท้งและขับทารกออก จึงได้ทำการสืบสวนหาที่มาจนทราบว่าร้าน ป.เภสัช มีการลักลอบจำหน่ายยาทำแท้ง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ จึงร่วมกับตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่นำกำลังเข้าล่อซื้อก่อนทำการตรวจค้นจับกุมดังกล่าว

นายแพทย์วัฒนา กาญจนกามล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การเข้าจับกุมในครั้งนี้เจ้าหน้าที่ตรวจพบยาที่ไม่ได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนในประเทศไทย และยาที่นำเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมทั้งจัดยาเป็นชุดเพื่อใช้สำหรับการทำแท้ง ประกอบด้วย ยาไซโตเท็คที่มีตัวยาไมโสโปรสตอล (Misoprostol) จำนวน 3 เม็ด และยาอาร์ยู 486 ที่มีตัวยามิฟีพริสโตน (Mifepristone) จำนวน 1 เม็ด โดยยาอาร์ยู 486 เป็นยาที่ไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนตำรับยาจาก อ.ย. เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อสังคม ส่วนยาไซโตเท็คนั้นเป็นยาที่ต้องมีแพทย์เป็นผู้สั่งเท่านั้น ร้านขายยาไม่สามาถนำมาจำหน่ายได้

นายแพทย์วัฒนา อธิบายว่า ยาอาร์ยู 486 นั้นมีสรรคุณเป็นยาคุมกำเนิดฉุกเฉินสำหรับใช้ในการคุมกำเนิดภายใน 72 ชั่วโมง หลังการมีเพศสัมพันธ์ ส่วนยาไซโตเท็คเป็นยาที่ใช้ในการรักษาแผลของลำไส้เล็กส่วนต้นและของกระเพาะอาหาร แต่มีผลข้างเคียงคือทำให้มดลูกของสตรีมีครรภ์เกิดการบีบตัวจนทำให้แท้งได้ ทำให้มีการนำยาทั้งสองชนิดมาจัดเป็นชุดให้ผู้ที่ตั้งครรภ์และไม่ต้องการมีบุตรรับประทาน โดยจำหน่ายในราคาชุดละ 2,000 บาท พร้อมทั้งอ้างว่าเมื่อใช้ยาดังกล่าวแล้วจะสามารถขับทารกออกจากครรภ์ได้ ด้วยการรับประทานยาอาร์ยู 486 ร่วมกับการสอดยาไซโตเท็คในช่องคลอด

อย่างไรก็ตาม วิธีการดังกล่าวถือว่ามีอันตรายมาก เนื่องจากเป็นการใช้ยาผิดวิธี อีกทั้งยังจะมีอันตรายทั้งจากการตกเลือด หรือในกรณีที่ผู้ตั้งครรภ์มีอายุครรภ์มากแล้วอาจเสี่ยงต่อการเกิดอาการมดลูกแตกและถึงแก่ความตายได้

นายแพทย์วัฒนา กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังพบว่าร้านดังกล่าวมีการจำหน่ายยาเสียสาวหรืออัลปราโซแลม (Alprazolam) ที่มีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาท คาดว่าจะลักลอบนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน และยังพบยาที่ใช้สำหรับสัตว์จำพวกม้าที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งยาที่ตรวจพบทั้งหมดในครั้งนี้จะต้องนำไปทำการตรวจสอบจำนวนและที่มาที่ไปอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งจะต้องมีการดำเนินคดีกับเจ้าของร้านตามกฎหมายด้วย

นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวด้วยว่า แม้เจ้าของร้านดังกล่าวจะอ้างว่าจำหน่ายยาโดยอาศัยข้อมูลตามหลักวิชาการ แต่การนำยาที่ไม่ได้รับอนุญาต จำหน่ายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน หรือยาที่ลักลอบนำมาจากต่างประเทศมาจำหน่ายนั้นถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย

นอกจากนี้ จากการตรวจสอบพบว่าที่ผ่านมา ร้านแห่งนี้เคยกระทำความผิดในลักษณะเดียวกันนี้มาแล้ว ดังนั้นนอกจากการดำเนินคดีตามกฎหมายแล้วจะมีการนำข้อมูลเสนอต่อสภาเภสัชกรรมเพื่อดำเนินการกับร้านดังกล่าวอีกทางหนึ่งด้วย




กำลังโหลดความคิดเห็น