ลำปาง - ดีเจชื่อดังชาวลำพูนคิดสั้น แอบขโมยกระเป๋าเงินผู้โดยสาร ระหว่างรถทัวร์เข้าลำปางแต่ถูกจับได้ เมื่อจำนนด้วยหลักฐานกลับอ้อนขอเจ้าทุกข์อย่าเอาเรื่อง-ห้ามทำข่าว บอกเป็นคนมีชื่อเสียงในลำพูน
เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองลำปาง ได้ควบคุมตัวนายวิโรจน์ วรรธณะภูติ อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 175 ถ.สันเหมือง ต.ในเมือง อ.เมืองลำพูน จากสถานีขนส่งจังหวัดลำปาง แล้วนำตัวมาสอบสวนที่ที่ทำการสายตรวจ 5 แยกหอนาฬิกา เมื่อคืนที่ผ่านมา (11 ก.ย.) หลังรับแจ้งจากนายวรัญญู ยะหัวฝาย อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 187 หมู่ 5 ต.เสริมซ้าย อ.เสริมงาม จ.ลำปาง ว่านายวิโรจน์ขโมยกระเป๋าเงินของเขาระหว่างนั่งบนรถทัวร์
นายวรัญญูเล่าว่า ตนเดินทางมาจาก จ.เชียงใหม่ นั่งรถทัวร์ของบริษัทจักรพงษ์ทัวร์ สายอุดรธานี-เชียงใหม่ เลขข้างรถ 526-19 มาลงที่สถานีขนส่ง จ.ลำปาง แต่ระหว่างทางเมื่อรถมาถึงสถานีขนส่งจังหวัดลำพูนตนได้เดินลงไปสูบบุหรี่ จากนั้นเมื่อกลับขึ้นมาบนรถพบว่านายวิโรจน์มานั่งอยู่ที่ที่นั่งของตน ตนจึงบอกนายวิโรจน์ว่าที่นั่งนี้เป็นของตนซึ่งซื้อตั๋วไว้เรียบร้อยแล้ว นายวิโรจน์ก็ยอมลุกกลับไปนั่งที่นั่งของตนเองแต่โดยดี
จนกระทั่งใกล้ถึงสถานีขนส่ง จ.ลำปางตนได้ตรวจดูกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวลงจากรถจึงพบว่า กระเป๋าเงินที่ตนใส่ไว้ในกระเป๋าสะพายวางไว้ที่เบาะหายไป จึงสอบถามผู้โดยสารข้างๆ จึงทราบว่านายวิโรจน์เป็นผู้มารื้อค้นกระเป๋าของตน จึงเดินไปถามนายวิโรจน์ ซึ่งนายวิโรจน์ได้ปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็นแต่อย่างใด ตนจึงบอกให้เด็กรถช่วยตรวจค้นแต่ก็ได้รับการปฏิเสธ จึงโทรศัพท์แจ้งเหตุที่หมายเลข 191 สภ.เมืองลำปาง
เมื่อรถเข้าเทียบชานชาลาที่สถานีขนส่ง จ.ลำปาง ร.ต.ต.ธานี ตันจันทร์กูล รอง สวป.สภ.เมืองลำปาง พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 3 นายซึ่งยืนรออยู่ ได้ขึ้นไปบนรถและขอตรวจค้นที่กระเป๋าของนายวิโรจน์ และพบกระเป๋าเงินสีน้ำตาล มีเงินอยู่ในกระเป๋าประมาณ 800 กว่าบาท และยังพบบัตรประชาชนระบุชื่อนายวรัญญู ยะหัวฝาย
เมื่อพบหลักฐานดังกล่าว นายวิโรจน์จึงยอมรับว่าเป็นผู้ขโมยกระเป๋าเงินของนายวรัญญูไปจริง แต่ที่ทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ พร้อมขอไม่ให้นายวรัญญูเอาเรื่องและห้ามผู้สื่อข่าวเข้าบันทึกภาพนำเสนอข่าวเนื่องจากตนเป็นดีเจของคลื่นวิทยุแห่งหนึ่งใน จ.ลำพูน มีคนนับหน้าถือตามากมาย แต่ผู้เสียหายไม่ยอม
จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงนำตัวนายวิโรจน์ส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี โดยกล่าวหาว่า “ลักทรัพย์ผู้อื่นในยวดยานสาธารณะ” นำตัวดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป