ศูนย์ข่าวขอนแก่น - เจ้าของร้านชำกลางเมืองขอนแก่นโร่ร้องสื่อให้ช่วยเหลือ หลังแจ้งความตำรวจแล้วร่วมเดือนแต่คดีไม่คืบหน้า กรณีถูกกลุ่มวัยรุ่นรุมทำร้ายร่างกายคาร้านกลางดึกจนลูกสาวได้รับบาดเจ็บตามร่างกายหลายแห่ง เผยหนึ่งในโจ๋เป็นสายข่าวของตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น
รายงานข่าวแจ้งว่า นางกาญจนา วงษ์สุริยา อายุ 56 ปี เจ้าของร้านขายของชำ “หมูหวาน” ที่ตั้งอยู่ถนนนิกรสำราญ เปิดบริการตั้งเเต่ 20.00-04.00 น. พร้อมลูกสาว ได้ออกมาร้องขอความช่วยเหลือต่อสื่อมวลชนว่า คืนวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ช่วงเวลาประมาณ 02.00 น.บุตรสาวคนโต คือ น.ส.สมนา วงษ์สุริยา อายุ 39 ปี ซึ่งกำลังเฝ้าร้าน ได้มีปากเสียงกับกลุ่มวัยรุ่น 3 คน สืบเนื่องจากมีกลุ่มวัยรุ่นขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านบริเวณหน้าร้าน และหนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นลงจากรถจักรยานยนต์เพื่อปัสสาวะบริเวณข้างร้านของตน ซึ่ง ณ ตรงนั้นมีเสาไฟฟ้าแสงไฟสว่าง ผู้คนทั่วไปสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
น.ส.สมนาจึงออกไปตักเตือนชายวัยรุ่นว่าเป็นบริเวณหน้าร้าน ไม่อยากให้ทำน่าเกลียด ทันใดนั้นวัยรุ่นคนดังกล่าวได้ตะโกนเสียงดังไม่พอใจที่ น.ส.สมนาออกมาเตือน โดยมีเพื่อน 2 คนยืนอยู่ด้วย ซึ่งนางกาญจนาระบุว่าทั้ง 3 คนอยู่ในสภาพเมา เมื่อมีการพูดจาตอบโต้กันจากนั้นชายวัยรุ่นคนดังกล่าวได้ปรี่เข้าต่อย น.ส.สมนา ทั้งเหวี่ยง กระชากอย่างไม่ยั้งมือ และเตะ กระทืบ ทำให้ น.ส.สมนาเสียหลักล้มลง บาดเจ็บสาหัส ศีรษะแตกเลือดอาบ
นางกาญจนา ผู้เป็นเเม่จึงกระโดดเข้าไปขวางเพื่อช่วยลูกสาว จึงถูกเท้า เข่า ศอก เเละหมัดของวัยรุ่นจนบาดเจ็บ แต่กลุ่มวัยรุ่นยังไม่หยุดพฤติกรรมดังกล่าว ยังเข้าทำร้าย น.ส.สมนาซ้ำ ทั้งที่เดินออกจากร้านไปแล้วย้อนกลับมาใหม่ตรงเข้าทำร้าย น.ส.สมนาอีก จนเวลาล่วงผ่านนานกว่า 2 ชั่วโมงเจ้าของร้านจึงพยายามดึงประตูเหล็กลง ไม่ให้กลุ่มวัยรุ่นเข้ามาได้อีก
จากเหตุการณ์ครั้งนี้มีกล้องวงจรปิดบันทึกไว้ชัดเจน 4 ตัว 4 มุมที่บันทึกหน้าผู้กระทำผิดได้อย่างชัดเจนทุกมุม ครบทุกคน ต่อเนื่องตลอดเหตุการณ์ โดยผู้บาดเจ็บนำไปเป็นหลักฐานเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น
เเต่จนถึงขณะนี้เวลาล่วงผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว แต่ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถจับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ นางกาญจนาจึงรู้สึกว่าตนและครอบครัวไม่ปลอดภัย อีกทั้งไม่เข้าใจว่าเหตุใดพนักงานสืบสวน สภ.เมืองขอนเเก่นทำงานล่าช้า จึงต้องออกมาร้องเรียนผ่านสื่อมวลชนในครั้งนี้
รายงานข่าวแจ้งว่า หนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุนั้นเป็นสายข่าวด้านยาเสพติดให้ตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น เป็นไปได้ว่าเหตุที่ไม่มีความคืบหน้าทางคดีและสองแม่ลูกไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะตำรวจปกป้องคนของตนเอง
รายงานข่าวแจ้งว่า นางกาญจนา วงษ์สุริยา อายุ 56 ปี เจ้าของร้านขายของชำ “หมูหวาน” ที่ตั้งอยู่ถนนนิกรสำราญ เปิดบริการตั้งเเต่ 20.00-04.00 น. พร้อมลูกสาว ได้ออกมาร้องขอความช่วยเหลือต่อสื่อมวลชนว่า คืนวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ช่วงเวลาประมาณ 02.00 น.บุตรสาวคนโต คือ น.ส.สมนา วงษ์สุริยา อายุ 39 ปี ซึ่งกำลังเฝ้าร้าน ได้มีปากเสียงกับกลุ่มวัยรุ่น 3 คน สืบเนื่องจากมีกลุ่มวัยรุ่นขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านบริเวณหน้าร้าน และหนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นลงจากรถจักรยานยนต์เพื่อปัสสาวะบริเวณข้างร้านของตน ซึ่ง ณ ตรงนั้นมีเสาไฟฟ้าแสงไฟสว่าง ผู้คนทั่วไปสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
น.ส.สมนาจึงออกไปตักเตือนชายวัยรุ่นว่าเป็นบริเวณหน้าร้าน ไม่อยากให้ทำน่าเกลียด ทันใดนั้นวัยรุ่นคนดังกล่าวได้ตะโกนเสียงดังไม่พอใจที่ น.ส.สมนาออกมาเตือน โดยมีเพื่อน 2 คนยืนอยู่ด้วย ซึ่งนางกาญจนาระบุว่าทั้ง 3 คนอยู่ในสภาพเมา เมื่อมีการพูดจาตอบโต้กันจากนั้นชายวัยรุ่นคนดังกล่าวได้ปรี่เข้าต่อย น.ส.สมนา ทั้งเหวี่ยง กระชากอย่างไม่ยั้งมือ และเตะ กระทืบ ทำให้ น.ส.สมนาเสียหลักล้มลง บาดเจ็บสาหัส ศีรษะแตกเลือดอาบ
นางกาญจนา ผู้เป็นเเม่จึงกระโดดเข้าไปขวางเพื่อช่วยลูกสาว จึงถูกเท้า เข่า ศอก เเละหมัดของวัยรุ่นจนบาดเจ็บ แต่กลุ่มวัยรุ่นยังไม่หยุดพฤติกรรมดังกล่าว ยังเข้าทำร้าย น.ส.สมนาซ้ำ ทั้งที่เดินออกจากร้านไปแล้วย้อนกลับมาใหม่ตรงเข้าทำร้าย น.ส.สมนาอีก จนเวลาล่วงผ่านนานกว่า 2 ชั่วโมงเจ้าของร้านจึงพยายามดึงประตูเหล็กลง ไม่ให้กลุ่มวัยรุ่นเข้ามาได้อีก
จากเหตุการณ์ครั้งนี้มีกล้องวงจรปิดบันทึกไว้ชัดเจน 4 ตัว 4 มุมที่บันทึกหน้าผู้กระทำผิดได้อย่างชัดเจนทุกมุม ครบทุกคน ต่อเนื่องตลอดเหตุการณ์ โดยผู้บาดเจ็บนำไปเป็นหลักฐานเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น
เเต่จนถึงขณะนี้เวลาล่วงผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว แต่ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถจับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ นางกาญจนาจึงรู้สึกว่าตนและครอบครัวไม่ปลอดภัย อีกทั้งไม่เข้าใจว่าเหตุใดพนักงานสืบสวน สภ.เมืองขอนเเก่นทำงานล่าช้า จึงต้องออกมาร้องเรียนผ่านสื่อมวลชนในครั้งนี้
รายงานข่าวแจ้งว่า หนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุนั้นเป็นสายข่าวด้านยาเสพติดให้ตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น เป็นไปได้ว่าเหตุที่ไม่มีความคืบหน้าทางคดีและสองแม่ลูกไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะตำรวจปกป้องคนของตนเอง
