พระนครศรีอยุธยา - ชาวบ้านเหยื่อน้ำท่วมปี 2554 ในพื้นที่ 3 ตำบล อำเภอภาชี พระนครศรีอยุธยา กว่า 400 คน ก่อม็อบบุกหน้าศาลากลางจังหวัด เรียกร้องผู้ว่าฯ ออกมาแก้ปัญหาค่าเงินชดเชยเยียวยาน้ำท่วม โวยโดนน้ำท่วมมานานกว่า 3 เตือน แต่ไม่ได้รับเงินสักบาทเดียว
วันนี้ (27 มิ.ย.) ที่ศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชาวบ้านจาก ต.กระจิว 7 หมู่ ต.พระแก้ว 3 หมู่ ต.โคกม่วง 4 หมู่ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา กว่า 400 คน รวมตัวกันมาประท้วงเพื่อเรียกร้องเรื่องเงินชดเชยเยียวยาค่าเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วม เมื่อปี 54 โดยมีนายนิยม จันทศร อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 53 ม.1 ต.กระจิว อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยาเป็นแกนนำมา
โดยชาวบ้านตะโกนเรียกร้องให้นายวิทยา ผิวผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลงมารับเรื่องร้องเรียนที่ชาวบ้านที่เดือดร้อนมาร้องเรียนเรื่องเงินเยียวยาน้ำท่วมที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดไม่อยู่ ชาวบ้านบอกว่า ถ้าผู้ว่าฯ ไม่อยู่ก็จะนั่งประท้วงอยู่ที่ศาลากลางนี้ ไม่ยอมไปไหนจนกระทั่งเจ้าหน้าที่จากศูนย์ดำรงค์ธรรมได้ลงมาเจรจา โดยให้ส่งตัวแทนชาวบ้านในแต่ละหมู่บ้านให้เข้ามาชี้แจงปัญหาข้อเรียกร้อง และรับฟังรายละเอียดของเจ้าหน้าที่ แต่ชาวบ้านไม่ยอมจะขอพบผู้ว่าฯ อย่างเดียว
นายเชื่อม เคลือคุ้มญาติ อายุ 58 ปี อยู่บ้าเลขที่ 4/1ม.4 ต.กระจิว อ.ภาชี เผยว่า ตนไม่ได้รับเงินชดเชยเยียวยาค่าเสียหายจากน้ำท่วมเลยแม้แต่บาทเดียว ซึ่งไปยื่นเรื่องขออุทธรณ์กับทางอำเภอแล้ว แต่ทางอำเภออ้างว่า พื้นที่อำเภอภาชี เป็นพื้นทีที่น้ำไม่ได้ท่วมฉับพลัน แต่เป็นน้ำท่วมเอ่อล้น ไม่สามารถยื่นเรื่องขอเงินช่วยเหลือเกี่ยวกับค่าเสียหายได้ ตนจึงบอกว่าน้ำท่วมเกือบ 3 เดือน สูงเกือบ 3 เมตร ข้าวของเสียหายเกือบทั้งหมด ทำไมถึงไม่ให้และบ้านตนก็ตกสำรวจอีก ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่เขาสำรวจกันยังไง
ด้านนางจำปี ปานแก้ว อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 4 ม.10 ต.โคกม่วง อ.ภาชี โชว์รูปภาพตอนน้ำท่วมบ้านตนให้สื่อมวลชนดูว่า บ้านตนท่วมขนาดไหน แต่ที่มาเรียกร้องเพราะว่าไม่ได้รับเงินชดเชยเยียวยาค่าเสียหายเช่นกัน ตนมีอาชีพทำนา และรับจ้างทั่วไป ที่นาก็ถูกน้ำท่วมเสียหายจำนวนมาก จึงต้องมาเรียกร้องให้ทางจังหวัดพิจารณาให้ใหม่
ต่อมา นายนัทธี บ่อสุวรรณ ปลัดจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ลงมาพบกับผู้ชุมนุมและรับทราบปัญหา โดยได้ให้ตัวแทนชาวบ้านทำหนังสือร้องเรียนขึ้นมาใหม่ แล้วทางจังหวัดจะได้ส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังพิจารณาอีกที ชาวบ้านจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน
