มุกดาหาร - หอการค้ามุกดาหารสำรวจเส้นทางคมนาคมการค้า-การลงทุนในลาว เผยกลุ่มทุนจีนรุกตลาดการค้าการลงทุน สปป.ลาวอย่างหนัก โดยเฉพาะนครหลวงเวียงจันทน์มีทั้งโครงการใหญ่-เล็กเกลื่อนเมือง แนะรัฐบาลไทยเร่งหนุนการเพิ่มมูลค่าสินค้าไทย พร้อมส่งเสริมเอกชนไทยขยายธุรกิจการค้าตามเส้นทางเศรษฐกิจหลักในภูมิภาค หวั่นอนาคตประชาคมอาเซียนเปิดพ่อค้าไทยถูกจีนและชาติอื่นกลืนหายไปจากเส้นทางการค้าหมด
นายภมร เชาว์ศิริกุล ประธานหอการค้าจังหวัดมุกดาหาร ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการความร่วมมือเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน-สปป.ลาว หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ได้นำคณะกรรมการหอการค้ามุกดาหารเดินทางติดตามดูความก้าวหน้าบนเส้นทางการค้าชายแดนจากแขวงสะหวันนะเขต-นครหลวงเวียงจันทน์ ตลอดเส้นทางมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในห้วง 2 ปีที่ผ่านมา
โดยเริ่มเดินทางจากแขวงสะหวันนะเขตไปตามเส้นทางหมายเลข 9 สาย EWEC ถึงชุมทางเซโน จุดแยกตรงไปเมืองเว้ ด่าหนัง ประเทศเวียดนาม
ขณะที่เลี้ยวซ้ายจะขึ้นยังทิศเหนือสู่นครเวียงจันทน์ เลี้ยวขวามุ่งสู่ทางใต้แขวงจำปาสัก ตามเส้นทางหมายเลข 13 สายหลักของ สปป.ลาวเชื่อมภาคเหนือสู่ภาคใต้ ที่นี่จะพบร้านขายไก่ย่างริมทางร่วม 40 ร้าน มีโรงงานน้ำตาลมิตรลาวตั้งอยู่ ซึ่งทางคณะได้เลี้ยวซ้ายขึ้นเหนือไปตามเส้นทางหมายเลข 13 ผ่านแขวงคำม่วน-นครพนม เส้นทางการค้าเมืองปากซัน แขวงบอลิคำไซตรงข้ามจังหวัดบึงกาฬ เข้าสู่ตัวเมืองเวียงจันทน์ รวมระยะทางประมาณ 450 กิโลเมตร
นายภมรกล่าวว่า ในโอกาสนี้ได้เดินสำรวจแหล่งธุรกิจการค้ายุคใหม่ของนครเวียงจันทน์ เช่น เซ็นเตอร์พอยต์ ศูนย์การค้าตลาดเช้า ศูนย์การค้าตลาดจีน โดยเฉพาะโครงการเวียงจันทน์อาเซียนมอลล์ เป็นศูนย์รวมสินค้าอาเซียนยุคใหม่ เตรียมรับการเปิดประตูสู่อาเซียนในปี 2558 โดยกลุ่มทุนจากประเทศจีนร่วมลงทุนโครงการนับพันล้านบาทพัฒนาให้เป็นพื้นที่จำหน่ายและศูนย์แสดงสินค้าติดแอร์ของคนรุ่นใหม่ ทั้งศูนย์ประชุมสากล ICC
นอกจากนี้ เส้นทางจากตัวเมืองนครหลวงเวียงจันทน์ลงสู่ภาคใต้มีการก่อสร้างถนนซูเปอร์ไฮเวย์เดินทางเดียวเชื่อมเส้นทางหมายเลข 13 และริมฝั่งโขงเมืองปากซันฝั่งตรงข้าม จ.บึงกาฬ ได้ปรับพื้นที่รองรับความเจริญของบ้านเมืองของฝั่งไทยอีกด้วย อนาคตมีโครงการพัฒนาเส้นทางสายเวียงจันทน์-สะหวันนะเขต ให้เป็นถนนซูเปอร์ไฮเวย์เดินรถทางเดียวสายแรกใน สปป.ลาว เพื่อรองรับความเจริญของเศรษฐกิจในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยควรจะทุ่มงบประมาณด้านการศึกษาให้มากขึ้น โดยเฉพาะศึกษาและวิจัยพัฒนาเรื่องเทคโนโลยีของสินค้าไทย ซึ่งปัจจุบันสินค้าจากเมืองไทยเป็นที่ยอมรับของประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างมาก แต่จำเป็นต้องพัฒนาต่อเพื่อพัฒนาสินค้าไทยให้ก้าวนำเพื่อนบ้านไปก่อนอย่างน้อย 1 ก้าว ที่ผ่านมารัฐบาลไทยให้การสนับสนุนในประเด็นนี้น้อยมาก
นายภมรกล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ในเวียงจันทน์มีให้เห็นทุกแห่งและส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักลงทุนจากชาวจีนที่เป็นเจ้าของโครงการ ปัจจุบันกลุ่มทุนจีนรุกเข้าทุกพื้นที่ของ สปป.ลาว ไม่เว้นแม้แต่ห้องแถวร้านค้าในซอยเล็กซอยน้อยก็ล้วนแต่เป็นการค้าขายของชาวจีน ต่างจากคนไทยที่ลงทุนทำมาค้าขายอยู่แต่ในบ้านตัวเอง
ดังนั้น รัฐบาลไทยคงต้องเร่งทำความเข้าใจในเรื่อง AEC ให้ประชาชนได้ตื่นตัวเตรียมพร้อมรับการแข่งขันทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น
“หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เชื่อว่าในอนาคตพ่อค้าไทยอาจจะถูกกลุ่มทุนใหญ่จากจีนหรือชาติอื่นๆ กลืนหายไปจากเส้นทางการค้าในภูมิภาคนี้ก็เป็นได้ และอนาคตของพ่อค้านักธุรกิจรายย่อยไทยจะประสบปัญหาการแข่งขัน หากไม่วางแผนเตรียมรับการเปิดประชาคมอาเซียน”