xs
xsm
sm
md
lg

น้องชาย “ติ่ง-มัลลิกา” เจอข้อหาบุกรุก เข้าพบ ตร.ถูกตรวจฉี่ซ้ำ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


พะเยา - ผู้บริหารสโมสรฟุตบอล “กุ้งจอมเก๋า” พะเยา FC น้องชาย “ติ่ง-มัลลิกา บุญมีตระกูล” เจอหมอฟันแจ้งข้อหาบุกรุกเคหสถานยามวิกาล เข้าพบตำรวจหลังเจอหมายเรียกรอบ 2 ก่อนถูกจับตรวจปัสสาวะซ้ำ พบฉี่สีม่วง

ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดพะเยาแจ้งว่า นายมนัสศักดิ์ บุญมีตระกูล อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 213 หมู่ 2 ต.สระ อ.เชียงม่วน จ.พะเยา อดีตผู้บริหารสโมสรฟุตบอล “กุ้งจอมเก๋า” พะเยา FC และเป็นน้องชายของ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.บัญญัติ เนตรสุวรรณ์ ผกก.สภ.เมืองพะเยา ตามหมายเรียกครั้งที่ 2 สภ.เมืองพะเยา ข้อหาบุกรุกเคหสถานในยามวิกาล โดยมี พ.ต.ท.บวร ไชยคำ สารวัตรเจ้าของคดี พ.ต.ท.ศุวเลิศ วงศ์ไชย เจ้าหน้าที่ ปปส.ภ.จว.พะเยา และ พ.ต.ท.ชาญณัฐ ปองรักษ์ สว.สส.สภ.เมืองพะเยา ร่วมสอบสวนปากคำ เมื่อวานนี้ (10 พ.ค.) โดยไม่ยอมให้สื่อมวลชน หรือผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าฟังการสอบสวน

กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 เมษายน 55 เวลา 23.40 น.ทันตแพทย์ชาญ เชิดชูเหล่า รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพะเยา ได้เข้าพบ พ.ต.ท.บวร ไชยคำ สารวัตรเวร สภ.เมืองพะเยา แจ้งความร้องทุกข์ว่า เมื่อเวลาประมาณ 22.15 น. ก่อนมาแจ้งความ (5 เม.ย.) ได้มีผู้ชายรูปร่างสันทัด ไว้ผมรองทรงสูงประมาณ 165-170 ซม. บุกเข้ามาในบ้าน

ทันตแพทย์ชาญให้ข้อมูลว่า ก่อนพบชายดังกล่าว ภรรยาของเขาได้ยินเสียงผิดปกติที่บริเวณหน้าต่างห้องน้ำ ซึ่งลูกสาวกำลังอาบน้ำอยู่ จึงให้ตนออกมาดูโดยเปิดประตูทางด้านดาดฟ้าของบ้านที่อยู่ติดกับบ้านของ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล พอตนเปิดประตูออกมาก็พบว่ามีชายรูปร่างดังกล่าวยืนอยู่ใกล้กับหน้าต่างห้องน้ำ และหันมาทางตน แล้วยกมือแตะที่ริมฝีปากเสมือนให้ตนอยู่เงียบๆ จากนั้นชายคนดังกล่าวก็เดินผ่านหน้าตนไป โดยมีไฟส่องสว่างที่ดาดฟ้าเห็นหน้าอย่างชัดเจน พอไปถึงกำแพงรั้วที่ติดกันก็กระโดดลงไปในบ้านของ น.ส.มัลลิกาแล้วหายไป

ต่อมา พ.ต.ท.บวร ไชยคำ ได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ และจะขอเข้าไปในบ้าน น.ส.มัลลิกา ซึ่งมีนักฟุตบอลอยู่หลายคน แต่ถูกปฏิเสธจากคนในบ้านอ้างว่าเป็นยามวิกาลและไม่มีหมายค้น จากนั้น พ.ต.ท.บวรได้ไปดูบริเวณริมรั้วซึ่งเป็นกำแพงสูงประมาณ 1.60 เมตร มองไปยังข้างบ้านพบว่ามีนักฟุตบอลและคนอื่นๆ หลายคน จึงสอบถามว่าคนในบ้านออกมาหมดหรือยัง

ปรากฏว่ามีนายมนัสศักดิ์ หรือต๋อง บุญมีตระกูล เดินออกจากประตูบ้านมา นาทีนั้นทันตแพทย์ชาญ เชิดชูเหล่า ได้ตะโกนยืนยันว่าเป็นคนคนเดียวกับที่ตนเห็นอยู่ริมหน้าต่างห้องน้ำบ้านตน ทางเจ้าหน้าที่จึงเชิญตัวนายมนัสศักดิ์มาสอบสวน เบื้องต้นนายมนัสศักดิ์ได้ปฏิเสธและไม่ยอมมาให้สอบสวนปากคำตามที่เจ้าทุกข์มาแจ้งความไว้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงออกหมายเรียก แต่ไม่มีการตอบรับจนต้องออกหมายเรียกเป็นครั้งที่สอง

กระทั่งนายมนัสศักดิ์ได้ติดต่อทางโทรศัพท์กับ พ.ต.อ.บัญญัติ เนตรสุวรรณ์ ผกก.สภ.เมืองพะเยา ว่าขอเข้าพบเพื่อให้ปากคำเวลา 13.00 น.วันที่ 10 พฤษภาคม แต่พอถึงเวลานัดก็ไม่มา จากนั้นโทร.มานัดอีกครั้งเป็นเวลา 19.00 น. ทางตำรวจรอจนนายมนัสศักดิ์มาพบแล้วนำเข้าห้องทำงาน พ.ต.อ.บัญญัติ เนตรสุวรรณ์ โดยปิดห้องไม่ให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปโดยเด็ดขาด

พ.ต.อ.บัญญัติกล่าวก่อนที่นายมนัสศักดิ์จะเข้าพบว่า คดีบุกรุกเคหสถานยามวิกาล สามารถยอมความกันได้ ไม่ใช่คดีร้ายแรงอะไร ส่วนกรณีที่เจ้าทุกข์อ้างว่าคู่กรณีไปแอบดูลูกสาวอาบน้ำนั้นไม่เข้าข่ายที่จะแจ้งข้อหาได้ ซึ่งโดยปกติทั่วไปก็จะจบด้วยการยอมความ แต่คดีนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมือง และผู้ถูกกล่าวหาเป็นประธานสโมสรฟุตบอล พะเยา FC และเป็นน้องชาย นักการเมืองดัง จึงถูกนำมาวิพากษ์วิจารณ์จนกลายเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกกดดันจากหลายฝ่าย แต่เราก็ทำตามหน้าที่ใครผิดใครถูกก็ว่าไปตามนั้น

โดยระหว่างการสอบสวนได้มีการนำอุปกรณ์ตรวจสารเสพติดเข้าไปด้วย เข้าใจว่าจะใช้ตรวจฉี่ของนายมนัสศักดิ์ และหลังจากการสอบสวนผ่านไปชั่วโมงเศษ พ.ต.อ.บัญญัติได้ออกมาเปิดเผยว่า เบื้องต้นผู้ถูกกล่าวหาให้การปฏิเสธคดีบุกรุก ส่วนการตรวจปัสสาวะของนายมนัสศักดิ์ นั้นพบเป็นสีม่วง ซึ่งเจ้าตัวก็ปฏิเสธว่าไม่มีการเสพสารเสพติดเช่นกัน ขั้นตอนต่อไปจะได้ส่งปัสสาวะไปให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พิสูจน์ หากมีสารเสพติดก็จะได้ดำเนินคดีต่อไป ซึ่งหลังทำการบันทึกการสอบสวนแล้วต้องปล่อยตัวนายมนัสศักดิ์ไปก่อน

ด้าน พล.ต.ต.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบก.ภ.จว.พะเยา กล่าวว่า ตนได้กำชับให้ พ.ต.อ.บัญญัติ เป็นผู้สอบสวนด้วยตนเอง และให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา และให้ความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย ซึ่งต่างก็มีชื่อเสียงในวงสังคมเมืองพะเยา อีกฝ่ายเป็นคนในตระกูลเก่าแก่รับราชการมานาน อีกฝ่ายเป็นน้องนักการเมืองดัง ดังนั้น จึงต้องใช้กฎหมายที่เปิดโอกาสให้คู่กรณีได้หักล้างกันในข้อเท็จจริง ตำรวจต้องวางตัวเป็นกลางและทำหน้าที่อยู่ในขอบของกฎหมาย ซึ่งตนก็จะลงไปร่วมตรวจสอบสำนวนด้วยเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด
กำลังโหลดความคิดเห็น