ศูนย์ข่าวศรีราชา - อุตุนิยมวิทยา แนะชาวสวนผลไม้ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี หมั่นดูแลผลผลิตในช่วงอากาศแปรปรวนเป็นพิเศษ หวั่นผลกระทบต่อปริมาณ และคุณภาพผลผลิต
นายสมพล คุ้มพ่วงดี ผู้อำนวยการ สถานีอุตุนิยมวิทยา จังหวัดจันทบุรี เผยว่าจาก สภาพอากาศที่แปรปรวนในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี อาจส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่จะถึงนี้ จังหวัดจันทบุรีจะมีสภาพอากาศที่ร้อน และมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน รวมทั้งยังจะมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง และมีลมกระโชกแรง อุณหภูมิต่ำสุดประมาณ 25-28 องศาเซลเซียส สูงสุดประมาณ 33-38 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์อยู่ที่ 70-80%
ลักษณะอากาศเช่นนี้ จะส่งผลกระทบต่อสวนผลไม้ของเกษตรกรในบางพื้นที่ที่กำลังติดผล และส่งผลกระทบต่อผลผลิตบางรุ่นที่สามารถตัดขายได้ในระหว่างปลายเดือนมีนาคม และต้นเดือนเมษายน
ผู้อำนวยการสถานีอุตุนิยมวิทยา จังหวัดจันทบุรี ได้แนะนำให้เกษตรกรชาวสวน ดูแลผลผลิตเป็นพิเศษ และควรดูแลให้น้ำแก่พืชที่อยู่ในระยะเจริญเติบโต รวมทั้งไม้ผลที่กำลังให้ผลผลิต อย่างเพียงพอ เพราะหากขาดน้ำจะทำให้ผลผลิตชะงักรวมทั้งด้อยคุณภาพ .ซึ่งเกษตรกรควรคลุมบริเวณโคนต้นพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรที่มีอยู่
เช่น ใบไม้ ฟางข้าว หรือหญ้าแห้ง เพื่อลดการระเหยของน้ำบริเวณผิวดิน พร้อมกับทำการ ผูกยึดลำต้นและค้ำยันกิ่งของไม้ผลให้มั่นคงแข็งแรงเพื่อป้องกันการหักโค่นเมื่อมีลมแรง โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่จะมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงในบางพื้นที่
นายสมพล คุ้มพ่วงดี ผู้อำนวยการ สถานีอุตุนิยมวิทยา จังหวัดจันทบุรี เผยว่าจาก สภาพอากาศที่แปรปรวนในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี อาจส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่จะถึงนี้ จังหวัดจันทบุรีจะมีสภาพอากาศที่ร้อน และมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน รวมทั้งยังจะมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง และมีลมกระโชกแรง อุณหภูมิต่ำสุดประมาณ 25-28 องศาเซลเซียส สูงสุดประมาณ 33-38 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์อยู่ที่ 70-80%
ลักษณะอากาศเช่นนี้ จะส่งผลกระทบต่อสวนผลไม้ของเกษตรกรในบางพื้นที่ที่กำลังติดผล และส่งผลกระทบต่อผลผลิตบางรุ่นที่สามารถตัดขายได้ในระหว่างปลายเดือนมีนาคม และต้นเดือนเมษายน
ผู้อำนวยการสถานีอุตุนิยมวิทยา จังหวัดจันทบุรี ได้แนะนำให้เกษตรกรชาวสวน ดูแลผลผลิตเป็นพิเศษ และควรดูแลให้น้ำแก่พืชที่อยู่ในระยะเจริญเติบโต รวมทั้งไม้ผลที่กำลังให้ผลผลิต อย่างเพียงพอ เพราะหากขาดน้ำจะทำให้ผลผลิตชะงักรวมทั้งด้อยคุณภาพ .ซึ่งเกษตรกรควรคลุมบริเวณโคนต้นพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรที่มีอยู่
เช่น ใบไม้ ฟางข้าว หรือหญ้าแห้ง เพื่อลดการระเหยของน้ำบริเวณผิวดิน พร้อมกับทำการ ผูกยึดลำต้นและค้ำยันกิ่งของไม้ผลให้มั่นคงแข็งแรงเพื่อป้องกันการหักโค่นเมื่อมีลมแรง โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่จะมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงในบางพื้นที่
