ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - “เฉลิม” ประชุมแก้ปัญหายาเสพติดที่เชียงใหม่ ระบุ ทุกฝ่ายต้องร่วมกันบูรณการแก้ปัญหา แนะแบ่งโซนดูแลรับผิดชอบให้ชัด มั่นใจทำได้ปัญหายาเสพติดลดแน่ กร้าวเตรียมล้างบางหมอ-เภสัช ลักลอบส่งสารตั้งต้น เผย เตรียมดึงนานาชาติร่วมกันแก้ปัญหา ไม่วายแอบแขวะ ปชป.เป็นรัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้ แถมออกนอกเรื่องระบุต้องแก้ รธน.ส่วนจะหน้าตาแบบไหนอยู่ที่ ส.ส.ร.พร้อมย้ำชัดเจนจะพา “ทักษิณ” กลับบ้านได้แน่
วันนี้ (9 มี.ค.) ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง รอกนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ศพส.) เดินทางมาเป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดพื้นที่ภาคเหนือตอนบน เพื่อมอบนโยบายและเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดของ 8 จังหวัดภาคเหนือ นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านในจังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
ในการประชุมดังกล่าว ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ปัญหายาเสพติดถือเป็นปัญหาสำคัญของชาติที่ส่งผลกระทบต่อประเทศอย่างมหาศาล ดังนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังในการแก้ไขปัญหา โดยทุกภาคส่วนจะต้องรวมพลังกันทำงาน ตนอยากให้ผู้ว่าราชการแต่ละจังหวัดพบปะพูดคุยกับกำนันผู้ใหญ่บ้านให้มากๆ และอยากกราบวิงวอนให้กำนันผู้ใหญ่บ้านช่วยดูแลเรื่องดังกล่าวในพื้นที่
เพราะถ้าหากเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในพื้นที่สามารถดูแลไม่ให้ยาเสพติดแพร่ระบาดได้ เมื่อรวมกับมาตรการอื่นๆ ที่มีการดำเนินการอยู่แล้ว ทั้งการปิดตะเข็บชายแดนหรือสกัดกั้นสารตั้งต้น ก็จะทำให้สถานการณ์ความรุนแรงของปัญหายาเสพติลดลงได้
ร.ต.อ.เฉลิม ให้สัมภาษณ์ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม ว่า การมอบนโยบายในครั้งนี้ได้ย้ำให้ทุกฝ่ายในพื้นที่ภาคเหนือ 89 จังหวัดร่วมกันบูรณาการในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง เนื่องจากถือเป็นพื้นที่ที่ยาเสพติดทะลักเข้ามาในประเทศมากที่สุดและมีกลุ่มผู้ค้ารายใหญ่อยู่เป็นจำนวนมาก โดยเน้นให้ทุกฝ่ายร่วมกันหารือและแบ่งพื้นที่รับผดชอบในการทำงาน ซึ่งหากการปราบปรามยาเสพติดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพก็จะส่งผลดีต่อการปราบปรามอาชญากรรมอื่นๆ ด้วย
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวต่อว่า ปัจจุบันรัฐบาลได้ดำเนินการเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจัง โดยนโยบายหลายอย่างที่ได้ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ถือว่าได้ผล ไม่ว่าจะเป็นการปิดกั้นตะเข็บชายแดน หรือการนำผู้ติดยาเสพติดมาเข้ารับการบำบัด ซึ่งในขณะมีผู้สมัครใจเข้ารับการบำบัดแล้วกว่า 120,000 ราย จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 400,000 ราย
อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหม่ที่พบ ก็คือ มีกลุ่มเภสัชกรและแพทย์ในโรงพยาบาลบางแห่งที่อาศัยโอกาสสั่งยาแก้หวัดที่มีสารซูโดอีเฟรดีนซึ่งเป็นสารตั้งต้น แล้วส่งต่อให้กับขบวนการผลิตยาเสพติด ซึ่งตนได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและกรมสอบสวนคดีพิเศษแล้วว่าจะต้องทำการจับกุมและปราบปรามคนกลุ่มนี้อย่างเด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นกลุ่มคนที่มีสติปัญญาความรู้ดี แต่กลับกระทำสิ่งที่เป็นภัยร้ายแรงต่อสังคม
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า เตรียมที่จะยกระดับเรื่องปัญหายาเสพติดให้เป็นปัญหาร่วมกันในระดับนานาชาติ เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยถูกนำเสนอว่าเป็นทางผ่านที่สำคัญของยาเสพติดในตลาดโลก ทั้งที่ยาเสพติดไม่ได้ผลิตในประเทศไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ ตนได้เรื่องดังกล่าวขึ้นหารือในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงแล้ว ซึ่งในระดับต่อไปจะนำเรื่องดังกล่าวขึ้นหารือในระดับนานาชาติ เพื่อให้ทุกประเทศได้มีส่วนร่วมในการเข้ามาแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ขณะเดียวกัน ตนยังมีแนวคิดที่จะจัดตั้งหน่วยงานปราบปรามยาเสพติดแล้วส่งไปประจำการในกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหายาเสพติดในภูมิภาคร่วมกัน
ทั้งนี้ ในการประชุมดังกล่าว ร.ต.อ.เฉลิม ได้กล่าวพาดพิงถึงการทำวงงานแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา โดยระบุทำงานมาถึง 2 ปี 7 เดือน แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันยังได้กล่าวถึงเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด อาทิ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า ขอท้าให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มาดีเบทกับตนในเรื่องดังกล่าว โดยระบุแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องขึ้นอยู่กับ ส.ส.ร.หาก ส.ส.ร.ร่างรัฐธรรมนูญแล้วประชาชนไม่ยอมรับเรื่องก็ตกไป
นอกจากนี้ ร.ต.อ.เฉลิม ยังได้กล่าวถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะได้เดินทางกลับบ้านแน่นอน โดยตนได้ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองไว้บ้างแล้ว การจะนำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้านจะทำตามกฎหมายทุกประการ เพราะความผิดต่างๆ ที่มีการกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณล้วนแต่เป็นเรื่องป้ายสีกันทั้งสิ้น
“ขอยืนยันว่า ผมจะทำเรื่องดังกล่าวแน่ เพราะเป็นสิ่งที่ได้หาเสียงไว้กับพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด และหากรู้ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะได้กลับบ้านเมื่อใด ตนจะเป็นคนเดินทามาแจ้งให้พี่น้องประชาชนในภาคเหนือได้รับทราบด้วยตนเอง”