กาญจนบุรี - รอง ผบช.ภ.7 และ ผบก.กาญจนบุรี นำทีมแถลงข่าวหลังรวบมือฆ่าเผาพนักงานบริษัทรับเหมาก่อสร้าง เผยชิงรถกระบะผู้ตายไปขายพม่า เร่งตามล่าเพื่อนร่วมขบวนการอีก 2 ประกาศใช้มาตรการเด็ดขาดหากต่อสู้ขัดขืน “รอง ผบช.ภ.7” ชี้ตามแกะรอยเหมือน “คดีนัยนา”
เมื่อเวลา 11.00 น.วันนี้ (31 ต.ค.) ที่ห้องประชุม บก.ภ.จ.กาญจนบุรี พล.ต.ต.เรวัช กลิ่นเกษร รอง ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.โชต วีรเดชกำแหง ผบก.ภ.จ.กาญจนบุรี พ.ต.อ.ภัทรชัย กอสนาน ผกก.กสสฯ พ.ต.ท.พีระพจน์ ระหว่างบ้าน รอง ผกก.กสส. พ.ต.อ.โกศล ยามา ผกก.สภ.บ่อพลอย นำตัว นายสมัย หรือแย็ค อำไพ อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 2/3 หมู่ 8 ต.หนองโรง อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี ผู้ต้องหาในคดีปล้นฆ่าชิงทรัพย์ก่อนเผาศพอำพรางคดีมาแถลงข่าว พร้อมของกลางอาวุธปืนขนาด .32 พร้อมกระสุนปืนขนาด .32 จำนวน 19 นัด กระสุนปืนเอ็ม 16 จำนวน 10 นัด โทรศัพท์มือถือ 6 เครื่อง
พล.ต.ต.เรวัช กลิ่นเกษร รอง ผบช.ภ.7 เปิดเผยว่า การจับกุมผู้ต้องหาครั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 26 ต.ค.54 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ่อพลอย ได้รับแจ้งพบศพหญิงไม่ทราบชื่อถูกเผาบริเวณชายป่าริมถนนสายลำเหย-โป่งรี หมู่ 5 บ้านสามยอด ต.ช่องด่าน อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี จากนั้นตนได้นำทีมลงพื้นที่คลี่คลายคดีด้วยตนเองพร้อมกับ พล.ต.ต.โชต วีรเดชกำแหง ผบก.ภ.จ.กาญจนบุรี และ กสส.ภ.จ.กาญจนบุรี ประสาน สภ.บ่อพลอย เนื่องจากเป็นคดีอุจฉกรรจ์สะเทือนขวัญในพื้นที่ และในเขต อ.เมืองกาญจนบุรี ก็มีคดีฆ่าเผานั่งยาง 2 คดี ซึ่งยังจับกุมคนร้ายไม่ได้ โดยได้มีการระดมกำลังเข้าตรวจค้นหาหลักฐานที่จุดเกิดเหตุ พบขวดน้ำดื่มที่ถูกไฟไหม้ไม่หมดตกอยู่ในที่เกิดเหตุ เราจึงตามแกะรอยเหมือนคดีฆ่านางนัยนา โดยระดมลงพื้นที่หาข่าวในร้านค้าต่างๆ ใน อ.บ่อพลอย จนได้ข้อมูลคืบหน้าไปอย่างมาก
ต่อมาได้มีนายทองเปลว โทนทอง อายุ 36 ปีอยู่บ้านเลขที่ 37 หมู่ 11 ต.กลอนโด อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี มาติดต่อขอดูศพและหลักฐานที่พบก่อนยืนยันว่าเป็นศพของนางสาวประไพรัตน์ หรือแนน เปรมบำรุง อายุ 27 ปี ภรรยา ซึ่งเป็นพนักงานบริษัท ทีดีดี ก่อสร้าง ตั้งอยู่ ต.สวนแตง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี โดยหายตัวไปพร้อมกับรถยนต์กระบะอีซูซุ รุ่นโกลด์ซีรี่ สีบรอนซ์เทา ทะเบียน บม.2432 สุพรรณบุรี ตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา
รอง ผบช.ภ.7 เปิดเผยต่อว่า จากการสืบสวนเชิงลึกได้ข้อมูลว่าหลังหายตัวไป นางสาวประไพรัตน์ ได้ติดต่อกับนายสมัย ผู้ต้องหา จึงควบคุมตัวนายสมัยมาสอบสวน ให้การรับสารภาพว่า เมื่อวันที่ 23 ต.ค.54 ได้นัดหมายผู้ตายให้ไปพบที่หน้าห้างเทสโก้โลตัส สาขาบ่อพลอย อ.บ่อพลอย โดยนายสมัยได้นำนายเขียด และน้องนายเขียดไปด้วย ระหว่างนั่งรอผู้ตาย ได้คิดแผนที่จะลักรถผู้ตายไปขาย เมื่อผู้ตายขับรถยนต์มาหาจึงออกอุบายยืมรถให้นายเขียดและน้องชายขับไปทำธุระ ส่วนนายสมัยได้ชักชวนให้ผู้ตายนั่งรถนายสมัยไปชายป่า จากนั้นได้ใช้ปืนขนาด .32 จ่อยิงเข้าที่ท้ายทอย 1 นัดก่อนจะทิ้งศพเอาไว้ และกลับมาใช้น้ำมันเผาในวันต่อมา
ส่วนรถยนต์ได้ให้นายเขียด และน้องนายเขียดขับไปขายที่ประเทศพม่า ตรงข้าม อ.สังขละบุรี จำนวนราคา 1 แสนบาท ซึ่งเบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหานายสมัย ความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น ร่วมกันปล้นทรัพย์ของผู้อื่นโดยใช้อาวุธปืน ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมืองทางสาธารณหรือหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันควร ส่วนนายเขียด และน้องชาย ให้รีบติดต่อมอบตัว หากมีการต่อสู้ขัดขืนจะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดต่อไป
ด้าน พล.ต.ต.โชต วีรเดชกำแหง ผบก.ภ.จ.กาญจนบุรี เปิดเผยว่า หลักฐานที่เราแกะรอยในคดีนี้มีเพียงขวดน้ำดื่มที่พบในที่เกิดเหตุ และเราได้นำเป็นหลักฐานสำคัญโดยพบว่ามีขายเพียงร้านเดียวใน อ.บ่อพลอย จึงนำภาพของผู้ตายไปให้ยืนยันและประสานญาติผู้ตายอยู่ตลอด ก่อนส่งศพไปตรวจพบว่าถูกยิงด้วยอาวุธปืนทำให้เสียชีวิต
ส่วนรถที่พรรคพวกที่ร่วมทีมนำไปขายฝั่งพม่ากำลังดำเนินการติดตามอยู่ คดีนี้ผู้ต้องหาแสดงความเหี้ยมโหด เนื่องจากจ่อยิงผู้ตายอย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะกลับมาอีกครั้งเพื่อใช้น้ำมันเผาศพทำลายหลักฐาน ส่วนรถกระบะของผู้ตายเราได้ประสานทางฝั่งพม่าเพื่อติดต่อขอไถ่รถแล้ว โดยมีราคา 1.5 แสนบาท ส่วนคดีฆ่าเผานั่งยางในเขต อ.เมืองกาญจนบุรี กำลังอยู่ระหว่างเร่งสืบสวนหาผู้ต้องหามาดำเนินคดีต่อไป
ด้าน นายสมัย ผู้ต้องหาเปิดเผยว่า ตนกับผู้ตายรู้จักกันมานานแล้ว เมื่อวันที่ 22 ต.ค.ที่ผ่านมาผู้ตายโทรศัพท์มาหาเพื่อขอยืมเงิน 5 พันบาท มีการนัดกันแต่เลื่อนไปวันที่ 23 ต.ค.โดยผู้ตายนัดเจอกันที่หน้าโลตัส อ.บ่อพลอย ตนกับนายเขียดและน้องนายเขียดไปรอก่อน ตอนแรกตั้งใจจะให้นายเขียดกับน้องลักรถผู้ตายไปขายเท่านั้นไม่มีเจตนาอย่างอื่น แต่เมื่อนายเขียดขับรถออกไปแล้วพาผู้ตายไปกินข้าวและพาไปหาหน่อไม้ในป่าที่เกิดเหตุ ระหว่างนั้นนายเขียดโทรศัพท์มาขู่ตนว่าให้ฆ่านางประไพรัตน์เสีย หากไม่ฆ่าและนายเขียดถูกจับจะมาฆ่าครอบครัวของตนให้หมด ตนจึงคิดชั่ววูบใช้ปืนขนาด .32 ที่พกมาด้วยจ่อยิงผู้ตาย 1 นัดที่ท้ายทอย ก่อนเอาโทรศัพท์ผู้ตาย 3 เครื่องไปฝังดิน
ส่วนกระเป๋าสะพายของผู้ตายนำไปเผาในไร่มัน เขตหมู่ 1 ต.ช่องด่าน อ.บ่อพลอย จากนั้นกลับไปบ้านเกิดหลอนเห็นเงาคนตายจึงโทรศัพท์ปรึกษานายเขียด ซึ่งนายเขียดได้ให้ไปหาที่ อ.เมืองกาญจนบุรี โดยนายเขียดบอกให้ตนกลับไปเผาศพผู้ตาย จากนั้นตนจึงนำน้ำมันไปราดศพผู้ตายก่อนเผาและได้เงินส่วนแบ่งมาทั้งหมด 6 หมื่นบาท จนกระทั่งถูกจับกุมตัวได้ในที่สุด
“ยอมรับว่าที่ต้องทำเพราะอารมณ์ชั่ววูบ” นายสมัยกล่าว ตำรวจจึงควบคุมตัวไว้เพื่อดำเนินคดีต่อไป