พะเยา - เครือข่ายแม่บ้านร้อง “รบ.” ขอกองทุนพัฒนาสตรี 100 ล้าน ส่งตรงให้ถึงมือ ไม่ต้องผ่าน อปท.หวั่นก่อความขัดแย้งทางการเมือง พร้อมเสนอกลุ่มสตรีวางเครือข่ายระดับตำบล-อำเภอทั่วประเทศ รองรับการทำงานเป็นระบบ
วันนี้ (19 ก.ย.) นางสุภัคสร วรรณปลูก ประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัด (กพส.จ.)พะเยา กล่าวว่า กรณีที่รัฐบาลมีนโยบายจะจัดตั้งกองทุนพัฒนาสตรีจังหวัดละ 100 ล้านบาทนั้น ทางเครือข่ายสตรีแต่ละจังหวัดอยากเสนอให้รัฐบาลดำเนินการส่งตรงมาถึงมือขององค์กรสตรีที่เป็นผู้ทำงานโดยตรง เช่น คณะกรรมการพัฒนาสตรี ซึ่งจะมีทุกระดับ ตั้งแต่หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด เขต จนถึงระดับประเทศ
เพราะกลุ่มสตรีเหล่านี้ คือ คนทำงานที่รับทราบสภาพปัญหาทุกด้าน ทั้งสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม การเมืองการปกครอง การศึกษา ฯลฯ หากเงินกองทุนดังกล่าวส่งตรงถึงมือคนทำงานจริงจะทำให้เงินงบประมาณแผ่นดินถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่สูญเปล่า
ประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัดพะเยา กล่าวต่อว่า ในอดีตที่ผ่านมาเคยมีรัฐบาลอนุมัติงบประมาณส่วนหนึ่งให้แก่กลุ่มสตรี โดยให้ผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในระดับตำบล ซึ่งเป็นลักษณะเงินโอนผ่าน อปท.ไปยังกลุ่มสตรีในพื้นที่ ซึ่งในครั้งนั้นพบว่าสตรีที่เป็นคนทำงานต้องประสบปัญหากับโครงการดังกล่าว เนื่องจากมีเรื่องของการเมืองท้องถิ่นเข้ามาแทรก
“หากผู้บริหาร อปท.ทำงานร่วมกับเครือข่ายสตรีในพื้นที่ได้ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องเงิน ที่ได้รับโอนเข้ามา จะโอนให้แก่กลุ่มเครือข่ายสตรีได้ทำงานอย่างไม่ติดขัด แต่หากท้องถิ่นใดที่มีปัญหาทางการเมือง ขัดใจกับกลุ่มสตรีในพื้นที่ งานก็จะติดขัด ขณะเดียวกันเงินที่โอนให้ อปท. จะถูก อปท.นำไปใช้เพื่อหาเสียงหรือสร้างประโยชน์ในทางการเมืองแก่กลุ่มของตัวเองเท่านั้น”
ดังนั้น เครือข่ายสตรีทั่วประเทศ กำลังหารือและได้นำเสนอแนวคิดนี้ในเบื้องต้นต่อปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้พิจารณาสนับสนุนเงินกองทุนพัฒนาสตรีจังหวัดละ 100 ล้านบาท ให้แก่องค์กรสตรี หรือกลุ่มสตรีที่กฎหมายรองรับและเป็นกลุ่มที่ทำงานอย่างจริงจัง โดยไม่ผ่าน อปท.เพื่อให้เงินส่งตรงถึงมือกลุ่มสตรีที่ทำงานอย่างแท้จริง
วันนี้ (19 ก.ย.) นางสุภัคสร วรรณปลูก ประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัด (กพส.จ.)พะเยา กล่าวว่า กรณีที่รัฐบาลมีนโยบายจะจัดตั้งกองทุนพัฒนาสตรีจังหวัดละ 100 ล้านบาทนั้น ทางเครือข่ายสตรีแต่ละจังหวัดอยากเสนอให้รัฐบาลดำเนินการส่งตรงมาถึงมือขององค์กรสตรีที่เป็นผู้ทำงานโดยตรง เช่น คณะกรรมการพัฒนาสตรี ซึ่งจะมีทุกระดับ ตั้งแต่หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด เขต จนถึงระดับประเทศ
เพราะกลุ่มสตรีเหล่านี้ คือ คนทำงานที่รับทราบสภาพปัญหาทุกด้าน ทั้งสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม การเมืองการปกครอง การศึกษา ฯลฯ หากเงินกองทุนดังกล่าวส่งตรงถึงมือคนทำงานจริงจะทำให้เงินงบประมาณแผ่นดินถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่สูญเปล่า
ประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัดพะเยา กล่าวต่อว่า ในอดีตที่ผ่านมาเคยมีรัฐบาลอนุมัติงบประมาณส่วนหนึ่งให้แก่กลุ่มสตรี โดยให้ผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในระดับตำบล ซึ่งเป็นลักษณะเงินโอนผ่าน อปท.ไปยังกลุ่มสตรีในพื้นที่ ซึ่งในครั้งนั้นพบว่าสตรีที่เป็นคนทำงานต้องประสบปัญหากับโครงการดังกล่าว เนื่องจากมีเรื่องของการเมืองท้องถิ่นเข้ามาแทรก
“หากผู้บริหาร อปท.ทำงานร่วมกับเครือข่ายสตรีในพื้นที่ได้ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องเงิน ที่ได้รับโอนเข้ามา จะโอนให้แก่กลุ่มเครือข่ายสตรีได้ทำงานอย่างไม่ติดขัด แต่หากท้องถิ่นใดที่มีปัญหาทางการเมือง ขัดใจกับกลุ่มสตรีในพื้นที่ งานก็จะติดขัด ขณะเดียวกันเงินที่โอนให้ อปท. จะถูก อปท.นำไปใช้เพื่อหาเสียงหรือสร้างประโยชน์ในทางการเมืองแก่กลุ่มของตัวเองเท่านั้น”
ดังนั้น เครือข่ายสตรีทั่วประเทศ กำลังหารือและได้นำเสนอแนวคิดนี้ในเบื้องต้นต่อปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้พิจารณาสนับสนุนเงินกองทุนพัฒนาสตรีจังหวัดละ 100 ล้านบาท ให้แก่องค์กรสตรี หรือกลุ่มสตรีที่กฎหมายรองรับและเป็นกลุ่มที่ทำงานอย่างจริงจัง โดยไม่ผ่าน อปท.เพื่อให้เงินส่งตรงถึงมือกลุ่มสตรีที่ทำงานอย่างแท้จริง
