น่าน - ชาวบ้านค่างาม-ทุ่งขาม เมืองน่าน รุมประท้วงนายทุนบุกรุกพื้นที่สาธารณะชุมชน แถมเกิดเหตุระทึกรถแบ็กโฮขุดถนนถอยทับชาวบ้าน
รายงานข่าวจากจังหวัดน่าน แจ้งว่า ชาวบ้านค่างาม บ้านทุ่งขาม และบ้านปางค่า กว่า 50 คน นำโดยนายมนู จันทสิทธิ์ กำนันตำบลไชยสถาน อ.เมืองน่าน,นายนพดล ศรีพลพรรค ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านปางค่า ม.4 ต.ไชยสถาน ได้รวมตัวกันที่ถนนเชื่อมหมู่บ้านค่างาม-ทุ่งขาม บริเวณหนองแขม เพื่อเรียกร้องให้รถแบ็กโฮ ของนายวิเชียร วงศ์ไพบูลย์วัฒน หยุดขุดถนนและทำลายพื้นที่สาธารณะของชุมชน เมื่อเย็นวานนี้(16 ก.ย.54)
บรรยากาศเป็นไปด้วยความตึงเครียด เนื่องจาก นายวิเชียร อ้างว่าพื้นที่ดินดังกล่าว เป็นของตนเอง มีเอกสาร นส.3 อ้างสิทธิ์ ขณะที่ชาวบ้านก็อ้างว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่สาธารณะ เป็นถนนเชื่อมระหว่างหมู่บ้านที่ชาวบ้านและชุมชนใช้ประโยชน์ในการสัญจรมานานนับหลายสิบปี
ชาวบ้านได้ขอให้รถแบ็กโฮหยุดดำเนินการขุดถนน และขอให้นายวิเชียร รอความชัดเจนเรื่องการตรวจสอบเอกสารสิทธิ หากยังดำเนินการขุดตักถนน ก็จะสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก แต่นายวิเชียร อ้างว่า ชาวบ้านได้มาบุกรุกในพื้นที่ดินของตน และการขัดขวางไม่ให้รถแบ็กโฮขุดตักดิน ก็ทำให้เขาได้รับความเสียหาย
นายวิเชียร ได้พยายามติดต่อทนายความ เพื่อดำเนินการฟ้องร้องกับชาวบ้าน ขณะที่ชาวบ้าน ก็ไม่ยอมให้นายวิเชียร ขุดตักถนนต่อ และขอให้รอเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้ามาพิสูจน์หลักหมุดที่ดินก่อน แต่นายวิเชียร ไม่ยอมและสั่งให้รถแบ็กโฮขุดตักดินต่อไป ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่ชาวบ้านที่ใช้ถนนเส้นดังกล่าวสัญจรเป็นอย่างมาก
ขณะที่มีการโต้เถียงกันนั้น ได้เกิดเหตุไม่คาดคิด เมื่อพบว่า รถแบ็กโฮ ได้ถอยรถทับนายอรุณ แสนอ่อน อายุ 65 ปี อยู่บ้านเลขที่ 82 ม.4 บ้านปางค่า ต.ไชยสถาน อ.เมืองน่าน ซึ่งเป็นผู้พิการขาหักต้องใช้ไม้ค้ำยันและรถพ่วง
นายอรุณ พยายามที่จะบอกว่า ถนนเส้นดังกล่าวเป็นของชุมชนที่ใช้สัญจรผ่านไปมาอย่างยาวนานหลายสิบปี และขี่รถพ่วงของตนผ่านบนถนนที่รถแบ็กโฮกำลังขุดตักดิน จนเกิดอุบัติเหตุไม่คาดคิด เมื่อรถแบ็กโฮ ถอยมาทับนายอรุณ กลางคันรถ โชคดีชาวบ้านในที่เกิดเหตุ ส่งเสียงห้ามรถแบ็กโฮให้หยุดรถได้ทัน ทำให้นายอรุณ ไม่ถึงกับถูกรถทับเสียชีวิต แต่ก็ได้รับบาดเจ็บที่เอว และลำตัว จากนั้นชาวบ้านได้ประสานให้หน่วยกู้ภัย อบจ.น่าน นำตัวส่งรักษาที่โรงพยาบาลน่าน
ถึงแม้เหตุการณ์ความขัดแย้งจะรุนแรงมากขึ้น แต่นายวิเชียร ก็ยังสั่งให้รถแบ็กโฮขุดตักดินต่อไป แม้ว่าชาวบ้านจะยืนขวางรถให้หยุดการทำงานก็ตาม
ต่อมา พ.ต.อ.สิทธิชัย ทนันไชย ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรเมืองน่าน ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.ยรรยงค์ สุริยมณี สวป.สภ.เมืองน่าน พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ชุดป้องกันและปราบปราม เข้าระงับเหตุ พร้อมกับเรียกตัวนายสุภา ราษฎร์เสนา อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 90 ม.4 บ.ก๊อดแก้ว ต.นาปัง อ.ภูเพียง คนขับรถแบ็กโฮ ลงจากรถ เพื่อสอบปากคำกรณีถอยรถทับนายอรุณ แต่นายวิเชียร ไม่ยอมให้คนงานลงจากรถ และอ้างว่าให้คุยกับทนายเท่านั้น ทำให้เกิดการโต้เถียงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งในที่สุดนายวิเชียร ต้องยอมเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่านายวิเชียร กำลังขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
นายสุภา คนขับรถแบ็กโฮ อ้างว่า ตนรับจ้างนายวิเชียร มาขับรถขุดตักดิน โดยไม่ทราบถึงข้อพิพาทกับชาวบ้าน และที่ขับรถแบ็กโฮถอยทับนายอรุณ ก็ไม่ทราบว่านายอรุณ จะขับรถมาบนถนนที่ตนกำลังทำงาน และนายวิเชียร ซึ่งอยู่ข้างๆรถ ก็สั่งให้ตนขุดตักต่อไปไม่ต้องหยุด จนเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น แต่ตนเองไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายนายอรุณ และคิดว่าจะไม่รับจ้างขับรถแบ็กโฮให้นายวิเชียร อีก
ด้านนายพศวีร์ สมศักดิ์ ปลัดอำเภอชำนาญการ อำเภอเมืองน่าน ได้เข้าชี้แจงผลการตรวจสอบต่อนายวิเชียรว่า ที่ดินพิพาทดังกล่าว คือที่ดินหนองแขม เนื้อที่ 5 ไร่ 90 ตารางวา ซึ่งทางที่ดินจังหวัดน่าน ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบเอกสารสิทธิ และการออกหนังสือสำคัญที่หลวง (นสล.) จึงยังไม่มีความชัดเจนในการพิสูจน์ว่าหลักหมุดอยู่ที่ใด ตรงไหนคือที่ดินสาธารณะ และตรงไหนคือที่ดินของนายวิเชียร เนื่องจากที่ดิน นส.3 ของนายวิเชียร มีเนื้อที่ติดต่อกับที่ดินสาธารณะของชาวบ้าน ซึ่งจะต้องได้รับการรับรองจากกำนันและผู้ใหญ่บ้าน แต่ขณะนี้ยังไม่มีการรับรอง และยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบหลักหมุด นายวิเชียร จึงยังไม่มีสิทธิ์ในการเข้ามาทำประโยชน์ใดๆได้ และทางอำเภอเมืองน่าน จะทำเรื่องส่งต่อให้ทาง อบต.ไชยสถาน แจ้งความดำเนินคดีฟ้องร้องนายวิเชียร ต่อไปด้วย
พ.ต.ท.บุญฤทธิ์ คำบุญเรือง พนักงานสอบสวน สภ.เมืองน่าน ได้เข้าทำบันทึกหลักฐานต่างๆ ทั้งเรื่องกรณีบุกรุกที่ดิน และกรณีรถแบ็กโฮ ถอยทับชาวบ้าน เพื่อเป็นหลักฐานและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ด้านนายวิเชียร วงศ์ไพบูลย์วัฒน คู่ขัดแย้งครั้งนี้ กล่าวว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นของตนเอง ตามเอกสาร นส.3 โดยตนได้เข้ามาตัดต้นไม้ และเกรดหน้าดิน 3 วันแล้ว เพื่อเตรียมพื้นที่ปลูกยางพารา แต่ก็ถูกชาวบ้านขัดขวางทำให้ได้รับความเสียหายอย่างมาก ทั้งเรื่องค่าจ้างคนงานและเวลาที่ล่าช้า แต่ก็ยอมรับว่าไม่สามารถชี้หลักหมุดที่ดินของตนเองได้ แต่หากพิสูจน์ได้ว่า ที่ดินพิพาทที่ตนเข้ามาดำเนินการ เป็นที่สาธารณะของชาวบ้าน ตนเองก็พร้อมจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย