ประจวบคีรีขันธ์ - ผู้ว่าฯประจวบคีรีขันธ์ พร้อม ตชด.14 ค่ายพระมงกุฎเกล้า ป้องกันจังหวัดเจ้าหน้าที่ป่าไม้ สื่อมวลชนนำ ฮ หน่วยบินตำรวจค่ายนเรศวรบินตรวจสภาพผืนป่าสงวนเขาไชยราชป่าคลองกรูด ที่ถูกนายทุนตัดโค่นเผาทำลายเป็นเนื้อที่หลายร้อยไร่ ภายหลัง นอภ.บางสะพานนำกำลังทหาร และ อส.ใช้แผน”ปฏิบัติการทวงคืนผืนป่าจากนายทุน 54” เข้าดำเนินการยึดพื้นที่เมื่อ 3 วันที่ผ่านมา ล่าสุดเพิกถอนสัญญาสัมปทาน และสั่งการเข้าแจ้งความดำเนินคดีผู้บุกรุกป่าสงวน จัดการเจ้าหน้าที่ซึ่งมีส่วนรู้เห็น และเร่งดำเนินการปลูกป่าฟื้นฟูทันที
เมื่อเวลา 13.00 น.วันนี้ (15 ก.ค.) นายวีระ ศรีวัฒนตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัด พร้อม พ.ต.อ.บรรจบ บุญเกษม ผกก.ตชด.14 ค่ายพระมงกุฎเกล้า ป้องกันจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด และสื่อมวลชน ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ของหน่วยบินตำรวจค่ายนเรศวร โดยมี พ.ต.ท.จรัญ เทพลงทอง, ร.ต.อ.นครินทร์ บริรักษ์ เป็นนักบิน ทำการบินสำรวจบริเวณพื้นที่ป่าสงวนเขาไชยราชป่าคลองกรูด บริเวณหมู่ที่ 2 หมู่ที่ 5 และหมู่ที่ 6 ต.ชัยเกษม อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าต้นน้ำที่สำคัญที่ถูกบุกรุก ซึ่งทางกรมป่าไม้ได้อนุญาตให้สัมปทานเอกชนปลูกสร้างสวนป่ากระถินยักษ์เป็นระยะเวลา 30 ปี นับตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมาซึ่งภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่าเจ้าของเดิม นางจารุ กาญจนวิรัช ได้เสียชีวิตลงเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา จนต่อมานางสุธีรา พรหมประดิษฐ์ มาขออนุญาตรับช่วงสิทธิ์ต่อซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบของหน่วยงานเกี่ยวข้องทั้งป่าไม้ โดยทางจังหวัดได้เข้าดำเนินการตรวจสอบจน พบว่าพื้นที่แปลงสัมปทานปลูกป่าดังกล่าวมีการตัดโค่นต้นกระถินเผาทำลายเนื้อที่หลายร้อยไร่ ซึ่งผิดวัตถุประสงค์และระเบียบตลอดจนไม่ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ ให้ตัดโค่น จนกระทั่งมีการซื้อขายจนนายทุนได้ลงมือปลูกยางพารา หลังจากตัดโค่นเผาทำลายจนกลายเป็นภูเขาหัวโล้น ทั้งที่เป็นป่าต้นน้ำ
นายวีระ ศรีวัฒนตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบฯ กล่าวว่าจากการบินสำรวจทางอากาศยังพบพื้นที่ป่าสงวนฯดังกล่าวพบว่านายทุนใช้วิธีการตัดโค่นเผาป่าจากด้านในขึ้นยอดเขาต่อเนื่องหลายลูก และกำลังบุกรุก ออกมาอีกหลายแปลง ซึ่งครั้งนี้หากไม่บุกยึดก่อนปล่อยไว้ป่าสงวนคงพินาศทั้งหมด หลังจากนักบินนำเฮลิคอปเตอร์ของหน่วยบินตำรวจ ร่อนลงบนสนามจอดเฮลิคอปเตอร์ที่ทำขึ้นบนยอดเขาที่มีการบุกรุก
หลังจากนั้น นายวีระ ศรีวัฒนตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้เข้ารับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์การปฏิบัติหน้าที่โดยมี นายสมพร ปัจฉิมเพชร นายอำเภอบางสะพาน ได้กล่าวว่าเมื่อวันที่ 13 ก.ค.2554 ที่ผ่านมา ได้นำกำลังทหารชุดเฉพาะกิจจงอางศึก ทหารพรานที่ 1403 กองร้อย อ.ส. เจ้าหน้าที่ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมหน่วยป้องกันกันรักษาป่าที่ 3 ประจวบคีรีขันธ์ หน่วยประสานงานป้องกันและปราบปรามการทำลายทรัพยากรป่าไม้ (นปม.) กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตำบลชัยเกษม กว่า 50 นาย บุกเข้าตรวจยึดพื้นที่ซึ่งถูกบุกรุกในเขตป่าสงวนเขาไชยราชป่าคลองกรูด ตามแผน”ปฏิบัติการทวงคืนผืนป่าจากนายทุน 54”ตามคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมทั้งตั้งฐานปฏิบัติการอยู่บนยอดเขาที่มีการบุกรุกซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 200 เมตร มาจนถึงวันนี้
นายอำเภอบางสะพาน กล่าวอีกว่าสาเหตุที่เกิดการบุกรุกป่าสงวนมาจากเจ้าหน้าที่ของรัฐบางหน่วยงาน บางคน ไม่มีความจริงใจในการปฏิบัติหน้าที่และมีเจ้าหน้าที่บางคนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มีการแสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งผมจะทำบันทึกลับเสนอให้ผู้ว่าฯรับทราบภายใน 5 วัน และให้รับทราบด้วยว่าผมเป็นคนเสนอรายงานไม่ได้ท้าทายสามารถฟ้องร้องผมได้หากเป็นเรื่องจริง เพราะผมเหนื่อยล้าอย่างเต็มทนแล้วในการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งผมรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมาดำเนินการเกี่ยวกับการบุกรุกป่า และใช้มาตรา 25 มา 24 คดีแต่ขณะเดียวกันก็ถูกฟ้องศาลปกครองแล้วถึง 3 คดีแต่ผมจะสู้ต่อไป
นายสมพร ปัจฉิมเพ็ชร นายอำเภอบางสะพาน กล่าวอีกว่าขณะนี้ได้มีการตรวจรังวัดพื้นที่สัมปทาน พร้อมขึ้นรูปแปลงทั้งหมด 6 แปลงว่าแต่ละแปลงมีเนื้อที่เท่าไหร่ซึ่งการคำนวณพื้นที่ในครั้งนี้จะไม่ใช้ค่าจีพีเอสผ่านระบบดาวเทียมแต่ใช้เจ้าหน้าที่เดินวัดภาคพื้นดินเพื่อป้องกันการผิดพลาด ซึ่งพื้นที่บางส่วนเสร็จสิ้นแล้ว พร้อมควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ไว้ได้ทั้งหมด โดยพื้นที่ป่าสงวนแห่งนี้มีการร้องเรียนมาตั้งแต่ปี 2549 และไม่มีหน่วยงานใดเข้าไปดำเนินการหยุดยั้งขบวนการบุกรุกป่าสงวนทำให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในพื้นที่ตำบลชัยเกษม ขาดความเชื่อมั่นต่อหน่วยงานราชการ จึงเสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กรมป่าไม้เพิกถอนสัมปทานดังกล่าวเนื่องจากผิดวัตถุประสงค์ของการให้เช่า อีกทั้งได้ทำการสืบสวนจนทราบว่ามีนายทุนจำนวน 4 ราย ที่เข้ามาครอบครองที่ดินแปลงสัมปทานและตัดโค่นต้นไม้เผาทำลายเพื่อปลูกยางพารา ซึ่งขั้นตอนต่อไปจะทำการขึ้นป้ายติดประกาศในพื้นที่บุกรุกทุกแปลงให้ประชาชนได้รับทราบต่อไปว่ามีการตรวจยึดดำเนินคดีห้ามผู้ใดเข้ามาครอบครอง เว้นแต่ศาลจะมีคำพิพากษา
อีกทั้ง นายอำเภอบางสะพาน ยังเสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเข้าควบคุมคดีทำหน้าที่หัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดีการบุกรุกป่าเอง และสามารถมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานสอบสวนในส่วนของฝ่ายปกครอง และตำรวจเองได้ รวมทั้งประสานขอนิติกรจาก กรม กระทรวง โดยหลังจากรวมรวมหลักฐานเอกสารต่างๆแล้วจะให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บุกรุกทั้งหมดรวมทั้งผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เช่าจากสัมปทานในครั้งนี้ด้วย
ภายหลังจากรับฟังรายงาน นายวีระ ศรีวัฒนตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้ดูสภาพพื้นที่จุดที่มีการบุกรุกโดยรอบพร้อมเยี่ยมเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยที่ขึ้นมาตั้งฐานอยู่บนยอดเขา และกล่าวว่าจุดที่มีการตรวจยึดในครั้งนี้จะเป็นตัวอย่างในการปฏิบัติหน้าที่ในการบูรณาการร่วมกันหลายฝ่าย ที่จะไปดำเนินการจัดการกับพื้นที่บุกรุกอื่นๆต่อไป โดยพื้นที่ซึ่งมีการตรวจยึดครั้งนี้ประมาณ 650 ไร่เป็นการทำผิดเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัมปทานอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้คงไม่สามารถที่จะให้มีการต่อสัญญาสัมปทาน สิ่งสำคัญจะดำเนินการจัดการกับเจ้าหน้าซึ่งมีส่วนรู้เห็นในการบุกรุกป่าให้หมดไป
ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวอีกว่า ส่วนปัญหาเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยฟ้องร้องศาลปกครอง ไม่ต้องกลัวเพราะทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ต้องรอบครอบ ละเอียด เป็นธรรม ชัดเจนในข้อกฎหมาย บางพื้นที่บรรดานายทุนชอบปลูกม๊อบมาสู้มาต่อต้านเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง จึงต้องชี้แจงกับทั้งสื่อมวลชนและชาวบ้านให้เข้าใจ สำหรับพื้นที่แปลงดังกล่าวนี้จะทำการการฟื้นฟูโดยการปลูกป่าให้ทางอำเภอเป็นผู้ทำโครงการ ตามโครงการปลูกป่ารอบบ้านพ่อของจังหวัด หลังจากนั้นจะส่งมอบผืนป่าแห่งนี้ให้ชุมชนมีส่วนร่วมในพื้นที่ได้ดูแลรักษาป่าต้นน้ำผืนนี้ต่อไป วันนี้ผมเรียนว่าการบุกรุกป่าในพื้นที่จังหวัดประจวบฯ ต้องหยุดให้ได้ และผมจะใช้มาตรการ”ปฏิบัติการทวงคืนผืนป่าจากนายทุน 54 ต่อไป”
หลังจากนั้น นายวีระ ศรีวัฒนตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมนางปรียา ศรีวัฒนตระกูล นายกเหล่ากาชาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้ตรวจเยี่ยมกำลังพลที่มาปฏิบัติหน้าที่ทั้งทหารชุดเฉพาะกิจจงอางศึก ทหารพรานที่1403 กองร้อย อ.ส. อาสารักษาความปลอดภัยของชุมชน (ชรบ.) เจ้าหน้าที่ป่าไม้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ต.ชัยเกษม พร้อมกล่าวขอบคุณที่ทุกหน่วยงานได้ช่วยกันนำผืนป่าสงวนป่าต้นน้ำผืนนี้กลับคืนมา พร้อมมอบเงินไว้ใช้จ่ายให้กับทางหน่วยต่างๆที่ยังคงต้องตั้งฐานรักษาพื้นที่ดังกล่าวอยู่