บุรีรัมย์ - นายอำเภอบ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ นำจนท. ตรวจสอบความเสียหาย กระสุนปืนใหญ่ทหารเขมรยิงเข้าตกในหมู่บ้านชายแดน ต.สายตะกู อ.บ้านกรวาด พบสวนยางเสียหายยับ พร้อมจัดชุด ชรบ.ดูแลหมู่บ้านๆ ละ 20 คน ตลอด 24 ชม. ขณะชาวบ้านผวาอพยพเพิ่มเป็นกว่า 3,000 คน หลังเสียงปืนจากการปะทะดังต่อเนื่อง ขณะตร.บุรีรัมย์ระดมกำลังลาดตระเวนเข้มดูแลความปลอดภัยและทรัพย์สินผู้อพยพหนีภัยสู้รบ
วันนี้ (23 เม.ย.) นายณัฐ ชาติวัฒนศิริ นายอำเภอบ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ตำรวจ อาสาสมัครักษาดินแดน(อส.) อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อป.พร.) กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหาย หลังมีกระสุนปืนใหญ่ทหารกัมพูชา จากเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา ที่บริเวณชายแดนด้าน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ยิงตกเข้ามาในหมู่บ้านสายโท 10, 11 และ 12 ใต้ หมู่ 7, 12 และ หมู่ 16 ต.สายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ จำนวน 5 ลูก เมื่อวานนี้ (22 เม.ย.)
จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบสวนยางพาราของเกษตรกร ทั้ง 3 หมู่บ้าน ซึ่งอยู่ห่างจากจุดปะทะประมาณ 15-20 กิโลเมตร ได้ถูกลูกกระสุนปืนใหญ่ตกใส่ต้นยางพารา ได้รับความเสียหายกว่า 40 ต้น แต่โชคดีที่ไม่มีบ้านเรือนพังเสียหาย และไม่มีชาวบ้านได้รับบาดเจ็บ
จึงได้เก็บเศษสะเก็ดระเบิดกระสุนปืนใหญ่ไปเก็บไว้เป็นหลักฐาน โดยตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ ยังได้ยินเสียงปืนดังจากการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา อยู่ตลอดเวลา ทำให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย ใน ต.สายตะกู และ ต.จันทบเพชร ได้ทยอยอพยพออกจากพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพราะเกรงจะไม่ปลอดภัย ซึ่งขณะนี้ที่ศูนย์อพยพโรงเรียนโนนเจริญพิทยาคม ต.โนนเจริญ อ.บ้านกรวด มียอดผู้อพยพแล้วกว่า 3,000 คน
และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 4,000 คน หากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย
อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านบางส่วน โดยเฉพาะผู้ที่มีสวนยางพาราอยู่ติดตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชา ยังมีความหวาดผวาและไม่มั่นใจในสถานการณ์จึงไม่กล้าออกไปกรีดและเก็บน้ำยางในช่วงกลางคืน ต้องออกไปกรีดและเก็บน้ำยางในช่วงกลางวันแทน เพราะเกรงไม่ปลอดภัย
นายณัฐ ชาติวัฒนศิริ นายอำเภอบ้านกรวด กล่าวว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงขณะนี้ยังได้ยินเสียงปืนดังอยู่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนเกิดความหวาดกลัว เกรงจะไม่ปลอดภัย จึงได้ทยอยกันอพยพมาอยู่ที่ศูนย์อพยพอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามทางอำเภอได้มีการจัดชุดรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้าน (ชรบ.) พร้อมอาวุธปืนลูกซองที่ทางราชการมอบให้ คอยเฝ้าดูแลรักษาความปลอดภัยอยู่ภายในหมู่บ้านๆ ละ 20 คน ตลอด 24 ชั่วโมง จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
ด้านนางนารี แก้วพะอบ อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 95 บ้านสายโท 11 หมู่ 12 ต.สายตะกู อ.บ้านกรวด กล่าวว่า ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงเช้า จึงวิ่งออกมาจากบ้านและเห็นกลุ่มควันสีดำพวยพุ่งกลางป่าสวนยางพาราห่างจากบ้านประมาณ 500 เมตร รู้สึกหวาดกลัวกับเหตุการณ์ยิงปะทะกันครั้งนี้ จึงพากันอพยพมาอยู่ที่ศูนย์หลบภัยโรงเรียนโนนเจริญพิทยาคม แห่งนี้ จนกว่าเหตุการณ์จะคลี่คลายแต่ก็ยังห่วงบ้านเรือนและทรัพย์สินซึ่งไม่มีใครอยู่ดูแล ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ก็อยากให้เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาที่เกิดขึ้นได้ยุติและสงบลงโดยเร็ว เพราะไม่อยากให้เกิดการสูญเสียทั้งสองฝ่าย
ทางด้าน พ.ต.อ. ฉัตรวรรษ แสงเพชร รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (ผบก.ภ.จว.) บุรีรัมย์ กล่าวว่า ได้สั่งให้ สภ.บ้านกรวด และ สภ.โคกกระชาย รวมทั้ง สภ.ใกล้เคียง จัดกำลังตำรวจวันละ 50 นาย สนธิกับ อาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) และฝ่ายปกครอง ผลัดเปลี่ยนเข้าไปลาดตระเวรรักษาความปลอดภัย และดูแลทรัพย์สินของประชาชน ในหมู่บ้านทั้ง 16 หมู่บ้านใน 2 ตำบลชายแดนไทย-กัมพูชา คือ ต.จันทบเพชร และ ต.สายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ที่ชาวบ้านอพยพทิ้งบ้านเรือนออกมาอยู่ที่ศูนย์อพยพชั่วคราว ทั้ง 5 แห่ง ในเขตพื้นที่อำเภอบ้านกรวดกว่า 3,000 คน
ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มโจรผู้ร้าย กลุ่มมิจฉาชีพหรือผู้ที่จะฉวยโอกาส เข้าไปลักขโมยทรัพย์สินและสิ่งของมีค่าซ้ำเติมประชาชนที่เดือดร้อนทั้งกลางวันและกลางคืนตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนั้นยังได้จัดกำลังส่วนหนึ่ง เข้าไปดูแลรักษาความปลอดภัยพร้อมอำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่ศูนย์อพยพทั้ง 5 แห่งดังกล่าวด้วย
“นอกจากจัดกำลังดูแลทรัพย์สินและความปลอดภัยให้กับประชาชนแล้ว ยังได้มีการอำนวยความสะดวกด้านการจราจรให้กับประชาชนและผู้อพยพลี้ภัยดังกล่าวด้วย และขณะนี้ยังได้ประสานไปยัง สภ.ใกล้เคียงที่ติดแนวชายแดน ได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์รุนแรงดังกล่าวที่อาจจะเกิดขึ้นตลอดเวลา” พ.ต.อ. ฉัตรวรรษ กล่าว
