พะเยา - อดีตศึกษานิเทศก์เผยมีรับจ้างทำ คส.3 จริง แต่ไม่มีปิดป้ายประกาศโจ่งแจ้ง แนะทางออกให้ทำผลงานเชิงประจักษ์จากผลผลิต
นายวัชระ ศรีคำตัน อดีตศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ จังหวัดพะเยา เปิดเผยถึงการทำผลงานครูผู้สอนระดับ 3 หรือ คส.3 หรืออาจารย์ 3 ว่า สิ่งที่อาจารย์ 2 ซึ่งเป็นครูผู้สอนในโรงเรียนต่างๆ มุ่งทำผลงานอาจารย์ 3 นั้น ตนทราบว่ามีครูหรืออาจารย์จำนวนไม่น้อยที่ได้ว่าจ้างให้ผู้รับจ้างเขียนผลงานให้ ซึ่งในจังหวัดพะเยาก็ยอมรับว่ามีการจ้างเขียนเช่นกัน แต่ผู้ที่รับจ้างเขียนนั้นไม่มีการปิดป้ายประกาศเป็นทางการ เพราะเรื่องเช่นนี้ไม่มีใครกล้าเปิดเผยว่าไปจ้างใครเขียนมา หรือจ้างเขียนเป็นเงินเท่าไหร่
นายวัชระบอกว่า การที่ครูผู้สอนได้จ้างผู้อื่นเขียนรายงานเพื่อทำผลงานให้นั้นสิ่งที่ครูหรืออาจารย์ผู้จ้างได้รับ คือ วิทยฐานะ และได้เงินเดือนประจำตำแหน่งเดือนละ 10,000 บาท และในรายที่เขียนเองจากผลงานที่ปฏิบัติจริง สอนจริงก็จะได้ความภาคภูมิใจด้วย
อดีตศึกษานิเทศก์กล่าวต่อว่า ซึ่งในการทำผลงานอาจารย์ 3 มี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก ครูหรืออาจารย์ผู้สอนที่ทำงานการสอนอย่างเดียว มีข้อมูลมาก ผลงานเป็นเชิงประจักษ์ชัดเจน แต่ไม่สามารถเขียนผลงานด้วยตนเอง หรือเขียนไม่เป็น หากจะทำก็อาจจะต้องนำผลงานทั้งหมดไปให้ผู้ที่เขียนเป็นช่วยรวบรวมทำรูปเล่มผลงานให้ นั่นคือ เป็นครูที่ทำงานและมีข้อมูล ผลงานเป็นที่ประจักษ์ แต่เขียนไม่เป็นจึงต้องจ้างเขียนเป็นบางส่วนหรือการช่วยรวบรวม บางครั้งหากมีเพื่อนอาจารย์ที่ใจดีช่วยทำให้ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลย เพราะความเห็นใจ
ขณะที่กรณีที่ 2 คือ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์แต่ไม่มาก ต้องการตัวช่วย จึงต้องจ้างเขียนหัวข้อให้สอดรับกับผลงานที่มีอยู่บางส่วน จึงต้องจ้างให้ผู้อื่นมาช่วยเขียนทำผลงาน รายนี้จะเสียค่าจ้างประมาณ 10,000-20,000 บาท
นายวัชระกล่าวอีกว่า ส่วนกลุ่มที่ 2 คือ เป็นกลุ่มที่ไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ มุ่งแต่จะทำงานผลงานเป็นรูปเล่มเพียงอย่างเดียว หมายถึงการจ้างเขียนทั้งเล่มตั้งแต่หัวข้อ เนื้อหาทุกบท 100% กรณีนี้จะเสียค่าใช้จ่ายตั้งแต่รายละ 50,000 บาทขึ้นไป
นายวัชระบอกว่า ในฐานะที่เคยผ่านงานการนิเทศการสอนมาหลายปีจนเป็นข้าราชการบำนาญ พบว่าการทำ คส.3 สิ่งที่จะเป็นประโยชน์จริง คือ การทำเพื่อตอบแทนการทำงานของครูผู้สอนที่ทำงานดีและมีประสิทธิภาพให้มีขวัญและกำลังใจในการทำงานมากขึ้น ในเรื่องของการจ้างเขียนผลงานนั้น สำหรับตนมองว่าทางออกในการแก้ปัญหาคือ ควรมีการตั้งคณะกรรมการของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาออกมาทำการประเมินครูผู้สอนเชิงประจักษ์ หมายถึงการสุ่มตรวจผลผลิต คือ หากในกรณีที่ครูผู้สอนรายใดต้องการทำ อาจารย์ 3 จะต้องแจ้งครูใหญ่หรืออาจารย์ใหญ่เพื่อแจ้งรายชื่อไปยัง สพท.เขต
จากนั้น กก.สพท.จะต้องออกตรวจผลผลิตจากนักเรียนที่เป็นลูกศิษย์ของครูผู้สอนรายนั้น โดยที่ไม่ให้เจ้าของรู้ตัว ซึ่งผลผลิตที่เป็นดัชนีชี้วัดที่ดีที่สุดคือนักเรียน หากนักเรียนไม่สามารถเกิดกระบวนการเรียนรู้ตามที่ครูผู้สอนได้ทำไป แสดงว่าการสอนของครูผู้นั้นไม่ประสบผลสำเร็จ แต่หากนักเรียนสามารถตอบสนองกระบวนการเรียนรู้ได้ อาจารย์ 3 ไม่ใช่สิ่งที่จะยากเกินไป
“หากยังใช้ระบบการทำงานเป็นเอกสาร ตนก็ยังเชื่อว่าการจ้างเขียนจะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้และจะมีอยู่ต่อไปตลอดนโยบายการทำอาจารย์ 3”
นายวัชระ ศรีคำตัน อดีตศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ จังหวัดพะเยา เปิดเผยถึงการทำผลงานครูผู้สอนระดับ 3 หรือ คส.3 หรืออาจารย์ 3 ว่า สิ่งที่อาจารย์ 2 ซึ่งเป็นครูผู้สอนในโรงเรียนต่างๆ มุ่งทำผลงานอาจารย์ 3 นั้น ตนทราบว่ามีครูหรืออาจารย์จำนวนไม่น้อยที่ได้ว่าจ้างให้ผู้รับจ้างเขียนผลงานให้ ซึ่งในจังหวัดพะเยาก็ยอมรับว่ามีการจ้างเขียนเช่นกัน แต่ผู้ที่รับจ้างเขียนนั้นไม่มีการปิดป้ายประกาศเป็นทางการ เพราะเรื่องเช่นนี้ไม่มีใครกล้าเปิดเผยว่าไปจ้างใครเขียนมา หรือจ้างเขียนเป็นเงินเท่าไหร่
นายวัชระบอกว่า การที่ครูผู้สอนได้จ้างผู้อื่นเขียนรายงานเพื่อทำผลงานให้นั้นสิ่งที่ครูหรืออาจารย์ผู้จ้างได้รับ คือ วิทยฐานะ และได้เงินเดือนประจำตำแหน่งเดือนละ 10,000 บาท และในรายที่เขียนเองจากผลงานที่ปฏิบัติจริง สอนจริงก็จะได้ความภาคภูมิใจด้วย
อดีตศึกษานิเทศก์กล่าวต่อว่า ซึ่งในการทำผลงานอาจารย์ 3 มี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก ครูหรืออาจารย์ผู้สอนที่ทำงานการสอนอย่างเดียว มีข้อมูลมาก ผลงานเป็นเชิงประจักษ์ชัดเจน แต่ไม่สามารถเขียนผลงานด้วยตนเอง หรือเขียนไม่เป็น หากจะทำก็อาจจะต้องนำผลงานทั้งหมดไปให้ผู้ที่เขียนเป็นช่วยรวบรวมทำรูปเล่มผลงานให้ นั่นคือ เป็นครูที่ทำงานและมีข้อมูล ผลงานเป็นที่ประจักษ์ แต่เขียนไม่เป็นจึงต้องจ้างเขียนเป็นบางส่วนหรือการช่วยรวบรวม บางครั้งหากมีเพื่อนอาจารย์ที่ใจดีช่วยทำให้ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลย เพราะความเห็นใจ
ขณะที่กรณีที่ 2 คือ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์แต่ไม่มาก ต้องการตัวช่วย จึงต้องจ้างเขียนหัวข้อให้สอดรับกับผลงานที่มีอยู่บางส่วน จึงต้องจ้างให้ผู้อื่นมาช่วยเขียนทำผลงาน รายนี้จะเสียค่าจ้างประมาณ 10,000-20,000 บาท
นายวัชระกล่าวอีกว่า ส่วนกลุ่มที่ 2 คือ เป็นกลุ่มที่ไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ มุ่งแต่จะทำงานผลงานเป็นรูปเล่มเพียงอย่างเดียว หมายถึงการจ้างเขียนทั้งเล่มตั้งแต่หัวข้อ เนื้อหาทุกบท 100% กรณีนี้จะเสียค่าใช้จ่ายตั้งแต่รายละ 50,000 บาทขึ้นไป
นายวัชระบอกว่า ในฐานะที่เคยผ่านงานการนิเทศการสอนมาหลายปีจนเป็นข้าราชการบำนาญ พบว่าการทำ คส.3 สิ่งที่จะเป็นประโยชน์จริง คือ การทำเพื่อตอบแทนการทำงานของครูผู้สอนที่ทำงานดีและมีประสิทธิภาพให้มีขวัญและกำลังใจในการทำงานมากขึ้น ในเรื่องของการจ้างเขียนผลงานนั้น สำหรับตนมองว่าทางออกในการแก้ปัญหาคือ ควรมีการตั้งคณะกรรมการของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาออกมาทำการประเมินครูผู้สอนเชิงประจักษ์ หมายถึงการสุ่มตรวจผลผลิต คือ หากในกรณีที่ครูผู้สอนรายใดต้องการทำ อาจารย์ 3 จะต้องแจ้งครูใหญ่หรืออาจารย์ใหญ่เพื่อแจ้งรายชื่อไปยัง สพท.เขต
จากนั้น กก.สพท.จะต้องออกตรวจผลผลิตจากนักเรียนที่เป็นลูกศิษย์ของครูผู้สอนรายนั้น โดยที่ไม่ให้เจ้าของรู้ตัว ซึ่งผลผลิตที่เป็นดัชนีชี้วัดที่ดีที่สุดคือนักเรียน หากนักเรียนไม่สามารถเกิดกระบวนการเรียนรู้ตามที่ครูผู้สอนได้ทำไป แสดงว่าการสอนของครูผู้นั้นไม่ประสบผลสำเร็จ แต่หากนักเรียนสามารถตอบสนองกระบวนการเรียนรู้ได้ อาจารย์ 3 ไม่ใช่สิ่งที่จะยากเกินไป
“หากยังใช้ระบบการทำงานเป็นเอกสาร ตนก็ยังเชื่อว่าการจ้างเขียนจะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้และจะมีอยู่ต่อไปตลอดนโยบายการทำอาจารย์ 3”
