แม่ฮ่องสอน - เครือข่ายองค์กรชุมชนจัดการทรัพยากรธรรมชาติลุ่มน้ำจังหวัดแม่ฮ่องสอน 21 องค์กร เรียกร้องให้ภาครัฐเปิดเผยข้อมูลการก่อสร้างเขื่อนฮัจจี สหภาพพม่า
นายทองเปลว ทวิชากรสีทอง ประธานเครือข่ายองค์กรชุมชนจัดการทรัพยากร ลุ่มน้ำจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า เครือข่ายองค์กรชุมชนจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ลุ่มน้ำจังหวัดแม่ฮ่องสอน 21 องค์กร ได้ยื่นหนังสือถึง นายระพีพันธ์ สริวัฒน์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ประธานคณะอนุกรรมการดำเนินการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ กรณีโครงการก่อสร้างเขื่อนฮัจจีในแม่น้ำสาละวิน สหภาพพม่า เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ขณะนี้องค์กรต้องการให้ภาครัฐเปิดเผยข้อมูลโครงการก่อสร้างเขื่อนฮัจจีทั้งหมดต่อสาธารณะ จากปัจจุบันภาครัฐมีเพียงนำเอกสารแนะนำเขื่อนฮัจจีเท่านั้น ยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการเปิดเผยข้อมูลที่แท้จริง เนื่องจากยังมีข้อมูลที่สำคัญอีกเป็นจำนวนมากยังไม่ได้รับการเผยแพร่ออกมา ซึ่งแม้แต่หน่วยงานราชการในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลโครงการนี้ได้
ขณะที่ นายระพีพันธ์ กล่าวว่า คณะอนุกรรมการได้ลงพื้นที่บ้านแม่สามแลบ อ.สบเมย เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ช่วงต้นเดือน ก.พ.ซึ่งก็ได้รับทราบข้อมูลและปัญหาต่าง ๆ ที่หลายฝ่ายหวั่นวิตก และคำถามของราษฎรในพื้นที่รวมทั้งองค์กรเอกชนที่มีความเป็นห่วงอยู่หลายประการ
โดยเฉพาะเรื่องการก่อสร้างเขื่อนที่กังวลกันว่า รัฐบาลพม่าจะใช้กำลังผลักดันชนกลุ่มน้อยที่ต่อต้านรัฐบาลพม่าออกจากพื้นที่ และอพยพเข้ามาอยู่ในเขตไทย จนกระทบต่อความเป็นอยู่ของราษฎรไทยจ.แม่ฮ่องสอน ที่มีผู้อพยพอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากตามแนวชายแดน และกรณีหลังก่อสร้างเขื่อนฮัจจีไปแล้ว เกรงว่าน้ำในลำน้ำสาละวิน จะเอ่อท่วมบ้านเรือนและพื้นที่ทำกินของราษฎรที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำสาละวิน-แม่น้ำเมย
ขณะเดียวกัน องค์กรเอกชนมีความเป็นห่วงเรื่องระบบนิเวศ อาจจะส่งผลกระทบต่อโลกร้อน และเรื่องพันธุ์ปลาต่างๆที่อาศัยอยู่ในลำน้ำสาละวิน จนสูญพันธุ์ และอีกประการหนึ่งที่ราษฎรในพื้นที่ อ.สบเมย ได้ซักถามต่อคณะกรรมการ ว่า การก่อสร้างเขื่อนฮัจจี ประโยชน์ที่จะได้รับมักจะเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ๆ หรือโรงงานต่างๆ ส่วนราษฎรในพื้นที่อาจจะไม่ได้รับผลประโยชน์ในการใช้กระแสไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นข้อกังวลและห่วงใยของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด้วยเช่นกัน โดยปัญหาต่างๆ เหล่านี้ จะมีการเสนอให้คณะกรรมการติดตามการแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชนได้รับทราบและได้พิจารณาต่อไป
นายระพีพันธ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ก็ยังไม่ดำเนินการก่อสร้างแต่อย่างใด ซึ่งจะต้องผ่านอีกหลายขั้นตอนก่อนที่จะมีการก่อสร้าง โดยจะมีการวิเคราะห์ผลกระทบต่างๆ ซึ่งประเด็นทั้งหลายเหล่านี้ กฟผ.จะได้นำมาวิเคราะห์และแก้ไขต่อไป
สำหรับโครงการไฟฟ้าพลังน้ำฮัจจี ตั้งอยู่ในจังหวัดผาอัน รัฐคะหยิ่น บริเวณตอนใต้ของแม่น้ำสาละวิน ห่างจากจุดบรรจบแม่น้ำเมย-สาละวิน ลงไปด้านท้ายน้ำประมาณ 47 กิโลเมตร
นายทองเปลว ทวิชากรสีทอง ประธานเครือข่ายองค์กรชุมชนจัดการทรัพยากร ลุ่มน้ำจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า เครือข่ายองค์กรชุมชนจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ลุ่มน้ำจังหวัดแม่ฮ่องสอน 21 องค์กร ได้ยื่นหนังสือถึง นายระพีพันธ์ สริวัฒน์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ประธานคณะอนุกรรมการดำเนินการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ กรณีโครงการก่อสร้างเขื่อนฮัจจีในแม่น้ำสาละวิน สหภาพพม่า เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ขณะนี้องค์กรต้องการให้ภาครัฐเปิดเผยข้อมูลโครงการก่อสร้างเขื่อนฮัจจีทั้งหมดต่อสาธารณะ จากปัจจุบันภาครัฐมีเพียงนำเอกสารแนะนำเขื่อนฮัจจีเท่านั้น ยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการเปิดเผยข้อมูลที่แท้จริง เนื่องจากยังมีข้อมูลที่สำคัญอีกเป็นจำนวนมากยังไม่ได้รับการเผยแพร่ออกมา ซึ่งแม้แต่หน่วยงานราชการในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลโครงการนี้ได้
ขณะที่ นายระพีพันธ์ กล่าวว่า คณะอนุกรรมการได้ลงพื้นที่บ้านแม่สามแลบ อ.สบเมย เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ช่วงต้นเดือน ก.พ.ซึ่งก็ได้รับทราบข้อมูลและปัญหาต่าง ๆ ที่หลายฝ่ายหวั่นวิตก และคำถามของราษฎรในพื้นที่รวมทั้งองค์กรเอกชนที่มีความเป็นห่วงอยู่หลายประการ
โดยเฉพาะเรื่องการก่อสร้างเขื่อนที่กังวลกันว่า รัฐบาลพม่าจะใช้กำลังผลักดันชนกลุ่มน้อยที่ต่อต้านรัฐบาลพม่าออกจากพื้นที่ และอพยพเข้ามาอยู่ในเขตไทย จนกระทบต่อความเป็นอยู่ของราษฎรไทยจ.แม่ฮ่องสอน ที่มีผู้อพยพอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากตามแนวชายแดน และกรณีหลังก่อสร้างเขื่อนฮัจจีไปแล้ว เกรงว่าน้ำในลำน้ำสาละวิน จะเอ่อท่วมบ้านเรือนและพื้นที่ทำกินของราษฎรที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำสาละวิน-แม่น้ำเมย
ขณะเดียวกัน องค์กรเอกชนมีความเป็นห่วงเรื่องระบบนิเวศ อาจจะส่งผลกระทบต่อโลกร้อน และเรื่องพันธุ์ปลาต่างๆที่อาศัยอยู่ในลำน้ำสาละวิน จนสูญพันธุ์ และอีกประการหนึ่งที่ราษฎรในพื้นที่ อ.สบเมย ได้ซักถามต่อคณะกรรมการ ว่า การก่อสร้างเขื่อนฮัจจี ประโยชน์ที่จะได้รับมักจะเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ๆ หรือโรงงานต่างๆ ส่วนราษฎรในพื้นที่อาจจะไม่ได้รับผลประโยชน์ในการใช้กระแสไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นข้อกังวลและห่วงใยของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด้วยเช่นกัน โดยปัญหาต่างๆ เหล่านี้ จะมีการเสนอให้คณะกรรมการติดตามการแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชนได้รับทราบและได้พิจารณาต่อไป
นายระพีพันธ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ก็ยังไม่ดำเนินการก่อสร้างแต่อย่างใด ซึ่งจะต้องผ่านอีกหลายขั้นตอนก่อนที่จะมีการก่อสร้าง โดยจะมีการวิเคราะห์ผลกระทบต่างๆ ซึ่งประเด็นทั้งหลายเหล่านี้ กฟผ.จะได้นำมาวิเคราะห์และแก้ไขต่อไป
สำหรับโครงการไฟฟ้าพลังน้ำฮัจจี ตั้งอยู่ในจังหวัดผาอัน รัฐคะหยิ่น บริเวณตอนใต้ของแม่น้ำสาละวิน ห่างจากจุดบรรจบแม่น้ำเมย-สาละวิน ลงไปด้านท้ายน้ำประมาณ 47 กิโลเมตร
