ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ – ไนท์ซาฟารีสั่งสอบ จนท.ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง 4 คน กรณี “ลูกฮิปโปฯ” หลุดหายออกจากคอกไปเสียชีวิตอยู่ในท่อระบายน้ำ แม้เบื้องต้นจะเชื่อว่าเป็นเหตุสุดวิสัย เนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องของอุปกรณ์กักสัตว์ป่วยนอกตัวอาคาร เตรียมสั่งทำคอกแบบน็อกดาวน์มาใช้ พร้อมเพิ่มความเข้มงวดมาตรการดูแลไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก ขณะที่สัตวแพทย์ ม.เชียงใหม่ ผ่าพิสูจน์ซาก พบสาเหตุการตายน่าจะมาจากการขาดอากาศหายใจ
วันนี้ (8 ธ.ค.52) นายณรงค์ ตนานุวัฒน์ ผู้จัดการพื้นที่พิเศษเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ความคืบหน้ากรณีลูกฮิปโปโปเตมัส อายุประมาณ 1 เดือน ของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีที่หลุดออกจากคอกกักของโรงพยาบาลสัตว์ในเชียงใหม่ซาฟารี ระหว่างการรักษาอาการป่วย แล้วหายตัวไปตั้งแต่ช่วงเช้ามืดวันที่ 1 ธ.ค.51
จนกระทั่งพบเสียชีวิตอยู่ในท่อระบายน้ำ ไม่ห่างจากจุดที่หลุดออกไปมากนักว่า สันนิษฐานเบื้องต้นว่าสาเหตุการตายของลูกฮิปโปฯ ตัวนี้น่าจะมาจากการขาดอาหารและขาดอากาศ ส่วนการพบอยู่ในท่อระบายน้ำนั้น น่าจะเป็นเพราะลูกฮิปโปฯ ต้องการหาแหล่งน้ำ จึงมุดลงไปในท่อแล้วไม่สามารถขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตามจะมีการพิสูจน์อย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
สำหรับการสอบสวนกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ผู้จัดการพื้นที่พิเศษเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี กล่าวว่า จะต้องมีการสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ตามขั้นตอนทางวินัยอยู่แล้ว เบื้องต้นมีทั้งหมด 4 คน ซึ่งการลงโทษก็แบ่งได้หลายระดับขึ้นอยู่กับผลสรุปการสอบสวนของคณะกรรมการ เช่น การตักเตือน การตัดเงินเดือน หรือการสั่งพักงาน เป็นต้น โดยจะต้องดูผลการสอบสวนและการพิจารณาตัดสินของคณะกรรมการ ที่จะมีการสรุปออกมาในท้ายที่สุด
อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นยังเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ น่าจะเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่มีผู้ใดที่เจตนาให้ลูกฮิปโปฯ หลุดออกไป เพราะเมื่อพิจารณาจากการดูแลรักษาลูกฮิปโปฯ ที่เข้ามารับการรักษาตัวจากการป่วยก็ทำให้อาการดีขึ้นจนแข็งแรง เพียงแต่ในส่วนของอุปกรณ์เครื่องมือสำหรับการดูแลลูกฮิปโปฯ ระหว่างพักฟื้นอาจจะยังไม่เพียงพอ ทำให้ต้องนำตัวออกไปแช่น้ำอุ่นไว้นอกตัวอาคารของโรงพยาบาลสัตว์ แล้วใช้รั้วตะแกรงเหล็กกั้นไว้ ซึ่งไม่เพียงพอ ทำให้ลูกฮิปโปฯ ตะกายจนหลุดออกไปได้
ทั้งนี้ในอนาคตจะมีการป้องกันโดยการจัดทำคอกกักแบบน็อกดาวน์ สำหรับการกักสัตว์ที่ต้องให้ออกมาอยู่นอกตัวอาคาร รวมทั้งจะมีการเพิ่มความเข้มงวดมาตรการในการดูแลสัตว์มากขึ้นและดีขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดกรณีสัตว์หลุดออกไปเช่นนี้อีก
ด้านนายสัตวแพทย์ ดร.ฉัตรโชติ ทิตาราม อาจารย์คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งผ่าพิสูจน์ซากลูกฮิปโปฯ ที่ตาย กล่าวว่า การผ่าพิสูจน์เพื่อหาสาเหตุการตายของลูกฮิปโปฯ ตัวนี้ทำได้ค่อนข้างยากเนื่องจากซากขึ้นอืดแล้ว เบื้องต้นคาดว่าน่าจะตายมาอย่างน้อย 2 วันแล้ว ซึ่งจากการผ่าพิสูจน์คาดว่าสาเหตุน่าจะมาจากการขาดอากาศหายใจ ขณะที่ในกระเพาะอาหารของลูกฮิปโปฯ พบว่ามีเศษหญ้าอยู่เล็กน้อย คาดว่าน่าจะเป็นหญ้าที่ลูกฮิปโปฯ กินบริเวณใกล้เคียงจุดที่พบ