มุกดาหาร - หนุ่มสาวใบ้หูหนวก จ.มุกดาหาร วิวาห์หวานชื่น เจ้าบ่าวหอบสินสอดเงินสด 30,000 บาท ที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงสู่ขอสาว ท่ามกลางความดีใจของญาติทั้ง 2 ฝ่าย
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (27 ต.ค.) ว่า ที่บ้านเลขที่ 53/10 บ้านโนนสว่าง ตำบลบางทรายใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ได้มีการจัดพิธีวิวาห์ คู่บ่าวสาวที่เป็นใบ้ทั้งสองคนขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ภายในหมู่บ้าน โดยเชิญแขกเหรื่อพร้อมกับเพื่อนของคู่บ่าวสาวซึ่งเป็นใบ้และไม่เป็นใบ้ เดินทางมาช่วยงานและร่วมเป็นสักขีพยานกับคู่บ่าวสาวคู่นี้ ไม่ต่ำกว่า 200 คน
โดยเจ้าบ่าวคือ นายสุริยา ทองมหา อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 53/10 บ้านโนนสว่าง ตำบลบางทรายใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ส่วนเจ้าสาว คือ น.ส.ทองหยิน ปิ่นเมือง อายุ 31 ปี ช่างตัดเย็บเสื้อผ้าฝีมือดีอยู่ที่บ้านเกิด หมู่ที่ 15 บ้านภูพาน ตำบลโคกสูง อำเภอภูพาน จังหวัดสกลนคร
ขณะที่ผู้สื่อข่าวไปถึงพบว่าญาติทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายกำลัง ทำพิธีบายสีสู่ขวัญและกำลังผูกฝ้ายข้อมือเจ้าบ่าวและเจ้าสาว พร้อมธนบัตร เพื่อความเป็นสิริมงคลตามประเพณีของท้องถิ่น และอวยพรให้ทั้งสองครองรักกันจนถือไม้เท้ายอดทองตะบองยอดเพชร
การดำเนินการตามขั้นตอนตามประเพณีวิวาห์นั้น ได้มีล่ามภาษามือคอยแปลคำสั่งให้คู่บ่าวสาวปฏิบัติตาม จากนั้นบรรดาเพื่อนๆ ของคู่บ่าวสาว ทั้งที่เป็นใบ้และไม่เป็นใบ้ ได้เข้าร่วมแสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาว โดยมีการใช้ภาษามือหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน จนเสร็จสิ้นพิธีกรรม คู่บ่าวสาวจึงเดินคลอเคลียออกมาพบปะกับแขกเหรื่อตามโต๊ะจนครบทุกโต๊ะ เป็นบรรยากาศที่สนุกสนานและชื่นมื่น
นางทองสา ทองมหา อายุ 52 ปี มารดาของเจ้าบ่าว เปิดเผยว่า ทั้งคู่พบกันครั้งแรก ที่โรงเรียนโสตศึกษาขอนแก่น ตั้งแต่เข้าเรียนที่โรงเรียนดังกล่าว เมื่อปี 2538 โดยฝ่ายเจ้าบ่าวเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ ของโรงเรียน ส่วนเจ้าสาว นางสาวทองหยิน เป็นนักกีฬาเปตอง ของโรงเรียน ซึ่งทั้งคู่ได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนเข้าร่วมการแข่งขันกีฬา ในรายการต่างๆ ร่วมกันหลายครั้งและสนิทสนมกัน จนเกิดเป็นความรัก และในการแข่งขันก็สามารถคว้าเหรียญรางวัลมากมาย
โดยฝ่ายเจ้าบ่าวได้ 32 เหรียญ ส่วนฝ่ายเจ้าสาวได้ 4 เหรียญ พร้อมกับได้โชว์เหรียญรางวัลให้ผู้สื่อข่าวดู และหลังจากจบการศึกษา ทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวต่างแยกย้ายกันไปหางานทำตามที่ตนชอบโดยฝ่ายชายไปทำงานขาย แผ่น ซีดี และสินค้าเบ็ดเตล็ดอยู่กรุงเทพมหานคร
ส่วนฝ่ายเจ้าสาวทำงานตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้านเกิด แต่ถึงทั้งคู่จะแยกกันอยู่คนละที่ไม่สามารถสื่อภาษามือได้ พูดไม่ได้แต่ก็ไม่เป็นปัญหาอุปสรรคต่อการติดต่อสื่อสารถึงกัน มีการโทรศัพท์ถึงกันบ่อยๆ โดยการส่งเป็นข้อความหรือแมสเสจแทน การพูด และหลังจากดูใจกันมากว่า 10 ปีในที่สุดฝ่ายเจ้าบ่าวได้ขอให้พ่อและแม่ไปสู่ขอเจ้าสาว
โดยนำเงินเงินที่ได้จากน้ำพักน้ำแรง จำนวน 30,000 บาท เป็นค่าสินสอด และเข้าประตูวิวาห์ในที่สุด ท่ามกลางความดีใจของญาติ ทั้ง 2 ฝ่าย
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (27 ต.ค.) ว่า ที่บ้านเลขที่ 53/10 บ้านโนนสว่าง ตำบลบางทรายใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ได้มีการจัดพิธีวิวาห์ คู่บ่าวสาวที่เป็นใบ้ทั้งสองคนขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ภายในหมู่บ้าน โดยเชิญแขกเหรื่อพร้อมกับเพื่อนของคู่บ่าวสาวซึ่งเป็นใบ้และไม่เป็นใบ้ เดินทางมาช่วยงานและร่วมเป็นสักขีพยานกับคู่บ่าวสาวคู่นี้ ไม่ต่ำกว่า 200 คน
โดยเจ้าบ่าวคือ นายสุริยา ทองมหา อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 53/10 บ้านโนนสว่าง ตำบลบางทรายใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ส่วนเจ้าสาว คือ น.ส.ทองหยิน ปิ่นเมือง อายุ 31 ปี ช่างตัดเย็บเสื้อผ้าฝีมือดีอยู่ที่บ้านเกิด หมู่ที่ 15 บ้านภูพาน ตำบลโคกสูง อำเภอภูพาน จังหวัดสกลนคร
ขณะที่ผู้สื่อข่าวไปถึงพบว่าญาติทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายกำลัง ทำพิธีบายสีสู่ขวัญและกำลังผูกฝ้ายข้อมือเจ้าบ่าวและเจ้าสาว พร้อมธนบัตร เพื่อความเป็นสิริมงคลตามประเพณีของท้องถิ่น และอวยพรให้ทั้งสองครองรักกันจนถือไม้เท้ายอดทองตะบองยอดเพชร
การดำเนินการตามขั้นตอนตามประเพณีวิวาห์นั้น ได้มีล่ามภาษามือคอยแปลคำสั่งให้คู่บ่าวสาวปฏิบัติตาม จากนั้นบรรดาเพื่อนๆ ของคู่บ่าวสาว ทั้งที่เป็นใบ้และไม่เป็นใบ้ ได้เข้าร่วมแสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาว โดยมีการใช้ภาษามือหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน จนเสร็จสิ้นพิธีกรรม คู่บ่าวสาวจึงเดินคลอเคลียออกมาพบปะกับแขกเหรื่อตามโต๊ะจนครบทุกโต๊ะ เป็นบรรยากาศที่สนุกสนานและชื่นมื่น
นางทองสา ทองมหา อายุ 52 ปี มารดาของเจ้าบ่าว เปิดเผยว่า ทั้งคู่พบกันครั้งแรก ที่โรงเรียนโสตศึกษาขอนแก่น ตั้งแต่เข้าเรียนที่โรงเรียนดังกล่าว เมื่อปี 2538 โดยฝ่ายเจ้าบ่าวเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ ของโรงเรียน ส่วนเจ้าสาว นางสาวทองหยิน เป็นนักกีฬาเปตอง ของโรงเรียน ซึ่งทั้งคู่ได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนเข้าร่วมการแข่งขันกีฬา ในรายการต่างๆ ร่วมกันหลายครั้งและสนิทสนมกัน จนเกิดเป็นความรัก และในการแข่งขันก็สามารถคว้าเหรียญรางวัลมากมาย
โดยฝ่ายเจ้าบ่าวได้ 32 เหรียญ ส่วนฝ่ายเจ้าสาวได้ 4 เหรียญ พร้อมกับได้โชว์เหรียญรางวัลให้ผู้สื่อข่าวดู และหลังจากจบการศึกษา ทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวต่างแยกย้ายกันไปหางานทำตามที่ตนชอบโดยฝ่ายชายไปทำงานขาย แผ่น ซีดี และสินค้าเบ็ดเตล็ดอยู่กรุงเทพมหานคร
ส่วนฝ่ายเจ้าสาวทำงานตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้านเกิด แต่ถึงทั้งคู่จะแยกกันอยู่คนละที่ไม่สามารถสื่อภาษามือได้ พูดไม่ได้แต่ก็ไม่เป็นปัญหาอุปสรรคต่อการติดต่อสื่อสารถึงกัน มีการโทรศัพท์ถึงกันบ่อยๆ โดยการส่งเป็นข้อความหรือแมสเสจแทน การพูด และหลังจากดูใจกันมากว่า 10 ปีในที่สุดฝ่ายเจ้าบ่าวได้ขอให้พ่อและแม่ไปสู่ขอเจ้าสาว
โดยนำเงินเงินที่ได้จากน้ำพักน้ำแรง จำนวน 30,000 บาท เป็นค่าสินสอด และเข้าประตูวิวาห์ในที่สุด ท่ามกลางความดีใจของญาติ ทั้ง 2 ฝ่าย