ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - แม้ "ทัศนัย บูรณุปกรณ์" อาศัยฐานคนเสื้อแดงนำโด่งม้วนเดียวจบ คว่ำแชมป์เก่า ดร.แป้งหล่นมาอยู่ที่ 3 ได้สำเร็จแต่วงการเมืองยังรอลุ้นการพิจารณาใบแดงของ กกต. จากคดีจับซื้อเสียงคาหลักฐาน รวมไปถึงเรื่องร้องเรียนที่เข้ามาอยู่ในมือแล้ว 3 เรื่อง
ผลการนับคะแนนก่อนจะประกาศผลเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเทศบาลนครเชียงใหม่อย่างเป็นทางการเมื่อเวลา 3.00 น.ของวันที่ 5 ต.ค. นายทัศนัย บูรณุปกรณ์ ผู้สมัครกลุ่มเพื่อไทยคุณธรรมที่ประกาศตัวเป็นสีแดงเต็มขั้นจะนำขาดลอยแบบม้วนเดียวจบที่ 24,384 คะแนน ส่วนผู้มาเป็นลำดับสองคือ นางวิภาวัลย์ วรวุฒิพงศ์ เบอร์ 7 ที่เคยร่วมทีมกับบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ ที่อบจ.เชียงใหม่ก่อนจะแยกตัวออกมาแข่งขันโดยมี ส.ท.กลุ่มช้างงานสนับสนุนได้ 13,197 คะแนน ส่วนอดีตผู้ดำรงตำแหน่งคือ ดร.แป้ง-เดือนเต็มดวง ณ เชียงใหม่ มาเป็นลำดับ 3 ที่ 6,958 คะแนน จากผู้มาใช้สิทธิ์ลงคะแนนทั้งสิ้น 64,871 คน จากยอดผู้มีสิทธิ์ 106,366 คน
อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวตั้งแต่เช้าวันที่ 5 ต.ค.หลังการทราบผลทุกฝ่ายมองไปที่การพิจารณารับรองผลการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดเชียงใหม่ (กกต.) ที่ได้รับเรื่องร้องเรียนก่อนเปิดหีบจำนวน 3 เรื่อง และยังปรากฏคดีการจับกุมผู้ต้องหาซื้อเสียงพร้อมของกลางเงินสดใบปลิวผู้สมัครคนสำคัญ และมีพยานบุคคลครบครัน ซึ่งคดีดังกล่าวเกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้สมัครหมายเลข 2 ที่ได้รับคะแนนมาเป็นลำดับหนึ่ง
โดยคดีดังกล่าวเกิดเมื่อวันที่ 2 ต.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ ได้ควบคุมตัว นายสุริยันต์ ขัติยะ และ นายณรงค์ชัย พิพัฒน์บรรจง พร้อมเงินสด 24,000 บาท ไปทำการสอบสวน หลังจากก่อนหน้านี้ได้รับแจ้งเบาะแสจาก กกต.เชียงใหม่ว่า จะมีการนำเงินซื้อเสียงย่านตำบลช้างคลาน ในตัวเมืองเชียงใหม่ และพบบุคคลทั้งสองบริเวณป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียนพระหฤทัยเชียงใหม่ มีท่าทางน่าสงสัยจึงเข้าทำการตรวจสอบ พบเงินสดดังกล่าว และบัตรแนะนำตัวของผู้สมัครรายหนึ่งอยู่ในกระเป๋าเงิน จึงนำตัวไปสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ โดยเบื้องต้นทั้ง 2 คน อ้างว่า เป็นหัวคะแนนของผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่รายหนึ่ง
ได้มีการแจ้งข้อกล่าวดำเนินคดีอาญากับทั้ง 2 คนในข้อหาเป็นธุระจัดหาซื้อเสียง เพราะได้มีการรับสารภาพว่า กำลังจะเอาเงินไปดำเนินการให้กับผู้สมัครนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่รายหนึ่ง ส่วนการจะขยายผลไปถึงตัวผู้สมัครนั้น เวลานี้กำลังอยู่ระหว่างการสอบสวน
โดยมีรายงานจากพนักงานสอบสวนว่า บัตรแนะนำตัวที่มีพบในกระเป๋าเงินของหัวคะแนนที่ถูกตำรวจควบคุมตัวมาทำการสอบสวนนั้น เป็นของนายทัศนัย บูรณุปกรณ์ ผู้สมัครหมายเลข 2 ขณะที่การแต่งกายของ 1 ใน 2 หัวคะแนนที่ถูกควบคุมตัวมาในครั้งนี้ ได้สวมใส่เสื้อยืดสีแดงที่มีการสกรีนชื่อของนายปกรณ์ บูรณุปกรณ์ ซึ่งเป็นอาของ นายทัศนัย ไว้ข้างหลัง และสวมหมวกสีแดง “ความจริงวันนี้” ด้วย โดยการลงสมัครรับเลือกตั้งของนายทัศนัยในครั้งนี้ ต่างเป็นที่ทราบกันดีว่าหวังกวาดคะแนนจากฐานเสียงของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยมีกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เป็นตัวตั้งตัวตีในการช่วยหาเสียงมาตลอด
เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ พยายามติดต่อของสัมภาษณ์นางวิภาวัลย์ วรวุฒิพงศ์ ผู้สมัครที่ได้คะแนนเป็นลำดับสองเพื่อสอบถามการเตรียมดำเนินการในขั้นต่อไป รวมถึงเรื่องร้องเรียน แต่ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับ
ขณะที่ ดร.เดือนเต็มดวง ณ เชียงใหม่ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า ขอบคุณคะแนนเสียงทุกเสียงและทุกคนที่ออกมาใช้เสียงแม้จะไม่ได้ลงคะแนนให้ตน โดยถือว่าคนเชียงใหม่ได้พิจารณาเลือกคนที่ตัวเองต้องการแล้ว สำหรับตนเองนั้นประกาศมาโดยตลอดว่าเป็นคนเชียงใหม่อยากทำงานให้กับเมืองเชียงใหม่ โดยคงจะไปทำงานเพื่อสาธารณะร่วมกับองค์กรภาคประชาชนต่าง ๆ ที่บางส่วนเคยทำงานร่วมกันมา สำหรับเรื่องการร้องเรียนใด ๆ นั้นส่วนตัวยังไม่ได้คิดทำ คงจะเป็นเรื่องของผู้สมัครรายอื่นมากกว่า
ผลการนับคะแนนก่อนจะประกาศผลเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเทศบาลนครเชียงใหม่อย่างเป็นทางการเมื่อเวลา 3.00 น.ของวันที่ 5 ต.ค. นายทัศนัย บูรณุปกรณ์ ผู้สมัครกลุ่มเพื่อไทยคุณธรรมที่ประกาศตัวเป็นสีแดงเต็มขั้นจะนำขาดลอยแบบม้วนเดียวจบที่ 24,384 คะแนน ส่วนผู้มาเป็นลำดับสองคือ นางวิภาวัลย์ วรวุฒิพงศ์ เบอร์ 7 ที่เคยร่วมทีมกับบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ ที่อบจ.เชียงใหม่ก่อนจะแยกตัวออกมาแข่งขันโดยมี ส.ท.กลุ่มช้างงานสนับสนุนได้ 13,197 คะแนน ส่วนอดีตผู้ดำรงตำแหน่งคือ ดร.แป้ง-เดือนเต็มดวง ณ เชียงใหม่ มาเป็นลำดับ 3 ที่ 6,958 คะแนน จากผู้มาใช้สิทธิ์ลงคะแนนทั้งสิ้น 64,871 คน จากยอดผู้มีสิทธิ์ 106,366 คน
อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวตั้งแต่เช้าวันที่ 5 ต.ค.หลังการทราบผลทุกฝ่ายมองไปที่การพิจารณารับรองผลการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดเชียงใหม่ (กกต.) ที่ได้รับเรื่องร้องเรียนก่อนเปิดหีบจำนวน 3 เรื่อง และยังปรากฏคดีการจับกุมผู้ต้องหาซื้อเสียงพร้อมของกลางเงินสดใบปลิวผู้สมัครคนสำคัญ และมีพยานบุคคลครบครัน ซึ่งคดีดังกล่าวเกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้สมัครหมายเลข 2 ที่ได้รับคะแนนมาเป็นลำดับหนึ่ง
โดยคดีดังกล่าวเกิดเมื่อวันที่ 2 ต.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ ได้ควบคุมตัว นายสุริยันต์ ขัติยะ และ นายณรงค์ชัย พิพัฒน์บรรจง พร้อมเงินสด 24,000 บาท ไปทำการสอบสวน หลังจากก่อนหน้านี้ได้รับแจ้งเบาะแสจาก กกต.เชียงใหม่ว่า จะมีการนำเงินซื้อเสียงย่านตำบลช้างคลาน ในตัวเมืองเชียงใหม่ และพบบุคคลทั้งสองบริเวณป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียนพระหฤทัยเชียงใหม่ มีท่าทางน่าสงสัยจึงเข้าทำการตรวจสอบ พบเงินสดดังกล่าว และบัตรแนะนำตัวของผู้สมัครรายหนึ่งอยู่ในกระเป๋าเงิน จึงนำตัวไปสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ โดยเบื้องต้นทั้ง 2 คน อ้างว่า เป็นหัวคะแนนของผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่รายหนึ่ง
ได้มีการแจ้งข้อกล่าวดำเนินคดีอาญากับทั้ง 2 คนในข้อหาเป็นธุระจัดหาซื้อเสียง เพราะได้มีการรับสารภาพว่า กำลังจะเอาเงินไปดำเนินการให้กับผู้สมัครนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่รายหนึ่ง ส่วนการจะขยายผลไปถึงตัวผู้สมัครนั้น เวลานี้กำลังอยู่ระหว่างการสอบสวน
โดยมีรายงานจากพนักงานสอบสวนว่า บัตรแนะนำตัวที่มีพบในกระเป๋าเงินของหัวคะแนนที่ถูกตำรวจควบคุมตัวมาทำการสอบสวนนั้น เป็นของนายทัศนัย บูรณุปกรณ์ ผู้สมัครหมายเลข 2 ขณะที่การแต่งกายของ 1 ใน 2 หัวคะแนนที่ถูกควบคุมตัวมาในครั้งนี้ ได้สวมใส่เสื้อยืดสีแดงที่มีการสกรีนชื่อของนายปกรณ์ บูรณุปกรณ์ ซึ่งเป็นอาของ นายทัศนัย ไว้ข้างหลัง และสวมหมวกสีแดง “ความจริงวันนี้” ด้วย โดยการลงสมัครรับเลือกตั้งของนายทัศนัยในครั้งนี้ ต่างเป็นที่ทราบกันดีว่าหวังกวาดคะแนนจากฐานเสียงของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยมีกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เป็นตัวตั้งตัวตีในการช่วยหาเสียงมาตลอด
เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ พยายามติดต่อของสัมภาษณ์นางวิภาวัลย์ วรวุฒิพงศ์ ผู้สมัครที่ได้คะแนนเป็นลำดับสองเพื่อสอบถามการเตรียมดำเนินการในขั้นต่อไป รวมถึงเรื่องร้องเรียน แต่ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับ
ขณะที่ ดร.เดือนเต็มดวง ณ เชียงใหม่ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า ขอบคุณคะแนนเสียงทุกเสียงและทุกคนที่ออกมาใช้เสียงแม้จะไม่ได้ลงคะแนนให้ตน โดยถือว่าคนเชียงใหม่ได้พิจารณาเลือกคนที่ตัวเองต้องการแล้ว สำหรับตนเองนั้นประกาศมาโดยตลอดว่าเป็นคนเชียงใหม่อยากทำงานให้กับเมืองเชียงใหม่ โดยคงจะไปทำงานเพื่อสาธารณะร่วมกับองค์กรภาคประชาชนต่าง ๆ ที่บางส่วนเคยทำงานร่วมกันมา สำหรับเรื่องการร้องเรียนใด ๆ นั้นส่วนตัวยังไม่ได้คิดทำ คงจะเป็นเรื่องของผู้สมัครรายอื่นมากกว่า