ตาก - ว่าที่ผู้ว่าฯตากคนใหม่นัดตั้งโต๊ะหารือร่วมเอกชนในพื้นที่ทันทีหลังรับตำแหน่ง 1 ต.ค.นี้ หวังเปิดแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบ ก่อนนัดเจอผู้ว่าฯเมียวดี - ผู้ดูแลเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนพม่าต่อ ด้านประธานที่ปรึกษาหอตาก ชี้การค้าไทย-พม่าปีนี้โตกว่า 20% แน่
นายสามารถ ลอยฟ้า ผู้ว่าราชการจังหวัดตากคนใหม่ ที่จะเข้ามารับตำแหน่งในวันที่ 1 ต.ค.52 นี้ กล่าวถึงนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ-การค้าชายแดนไทย-พม่า ในพื้นที่ชายแดน จ.ตากว่า ภายหลังเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดตาก อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคม 2552 จะประชุมร่วมกับประธานหอการค้าจังหวัดตาก-ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดตาก – นักธุรกิจ พ่อค้าผู้ประกอบการในพื้นที่เพื่อให้เป็นพลังขับเคลื่อนทางด้านเศรษฐกิจร่วมกับฝ่ายปกครอง โดยเปิดยุทธศาสตร์พัฒนาเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบ ทั้งด้านการค้าชายแดน-พาณิชยกรรม-อุตสาหกรรม-เกษตรกรรม-การท่องเที่ยว รวมทั้งการค้าตลาดริมเมยและอัญมณี ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นไปจนถึงระดับประเทศ
นายสามารถ ยังบอกอีกว่า นอกจากนี้ยังจะนัดหมายเจรจากับผู้ว่าราชการจังหวัดเมียวดีของพม่าและผู้ดูแลเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนเมียวดี (Myawaddy Trade Zone)รวมทั้งภาคเอกชน-นักธุรกิจในท้องถิ่นของพม่า เพื่อพัฒนาและเชื่อมความสัมพันธ์ ให้กำชับแนบแน่น ส่งเสริมการค้าและพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนไทย-พม่า แม่สอด-เมียวดี ทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน โดยจะอำนวยความสะดวกให้กับพ่อค้านักธุรกิจให้การค้าดำเนินไปได้ด้วยดีและอยู่บนความเข้าใจของไทย-พม่า เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าและกระตุ้นและขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้า” นายสามารถ กล่าว
นายสามารถ กล่าวเพิ่มเติมว่า ชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก ปัจจุบันเป็นด่านการค้าชายแดนสำคัญที่มีมูลค่าการส่งออกและนำเข้าปีละกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งภาครัฐและเอกชนในส่วนกลางและภูมิภาคกำลังผลักดันหลายโครงการ เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางอนุภูมิภาคอาเซียน-ระเบียงเศรษฐกิจ East West Economic Corridor รวมทั้งการเป็นเมือง Gate Way ประตูเชื่อมเส้นทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ทำให้ฝ่ายปกครองต้องเร่งส่งเสริม-สนับสนุนและให้ความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจ
นายสุชาติ ตรีรัตน์วัฒนา ประธานที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดตาก กล่าวถึงสถานการณ์การค้าในท้องถิ่น ภายในประเทศและการค้าระหว่างประเทศกับพม่า ที่ชายแดนไทย-พม่า อ.แม่สอด จ.ตาก ในช่วงสิ้นสุดไตรมาสที่ 3 ปี 2552 ว่า ดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งมีตัวเลขที่ชัดเจนว่าดีกว่าช่วงเดียวกันของปี 2551 ที่ผ่านมา และคาดว่าในช่วงไตรมาสที่ 4 ตั้งแต่เดือนตุลาคมจนถึงธันวาคม 2552 มูลค่าการค้าในท้องถิ่นและมูลค่าการค้าชายแดนจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% จากปัจจัยบวก 3 ประการคือ 1.ผลผลิตทางการเกษตรและพืชไร่ เริ่มออกสู่ตลาดหลังสิ้นสุดฤดูฝน 2.เป็นช่วงเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยวและหมดฝน ไทยและพม่าเริ่มมีเทศกาลต่างๆ เข้ามาเช่นออกพรรษา-ทอดกฐิน และเข้าฤดูหนาวที่จะเริ่มมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศเข้ามาจำนวนมาก และ 3.รัฐบาลเริ่มกระจายงบไทยเข้มแข็งลงพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศ ซึ่งจะเกิดเงินกระจายจับจ่ายใช้สอยเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับกรณีที่รัฐบาลพม่าได้ประกาศใช้ธนบัตรฉบับใบละ 5,000 จ๊าต ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552 นี้ เป็นการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนในการพกพาเงินจ๊าต และน่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดีในการเพิ่มมูลค่าการค้า อย่างไรก็ตามในช่วงต้นของการออกนำมาใช้อาจจะทำให้พ่อค้าประชาชนยังไม่มีความมั่นใจเท่าไร และทำให้ค่าเงินจ๊าตกับเงินบาทไทยลดลงทันที ซึ่งต้องรอสักระยะหนึ่งก็จะเข้าที่ แต่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลพม่าคงมีนโยบายที่ดีในการออกธนบัตร 5,000 จ๊าตมาใช้ และส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะการเตรียมการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศในปี 2553 ด้วย
ขณะที่บริเวณชายแดนไทย-พม่า แม่สอด-เมียวดี ชาวพม่าได้เดินทางมาซื้อสินค้าที่เมืองแม่สอด อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่า ค่าเงิน จ๊าตกับการแลกเปลี่ยนเงินบาทจะตกลง จาก 100 จ๊าต ต่อ 3.50 บาท เหลือเพียง 3.00-3.30 บาทเท่านั้น
รายงานข่าวแจ้งว่าสำหรับธนบัตรฉบับ 5000 จ๊าต ที่รัฐบาล SPDC ได้นำออกมาใช้นี้ บนหน้าทั้งสองด้านจะมีสีแดงประทับด้วยรูปช้างเผือกและภาพเมืองเนปิดอร์ เหมืองหลวงใหม่ ซึ่งแตกต่างจากธนบัตรชนิดอื่น ๆ ที่บนหน้าถูกพิมพ์ประทับด้วยรูปสิงห์ ขณะที่รัฐบาลทหารพม่าประกาศว่า การพิมพ์ใช้ธนบัตรฉบับ 5000 จ๊าตนี้ เพื่อให้ง่ายต่อการใช้จ่ายและพกพา ส่วนเหรียญหรือธนบัตรอื่นๆ ยังคงสามารถใช้ได้ตามปกติ โดยรัฐบาลทหารพม่า SPDC ไม่ได้ประกาศยกเลิกแต่อย่างใด