ศูนย์ข่าวศรีราชา - เมืองพัทยาจัดประชุมร่วมตัวแทนชุมชน ถกปัญหาการจัดเก็บค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสียจากประชาชน ชี้เป็นภาระที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือ ขณะที่ประชาชนโวยบางพื้นที่ควรมีการยกเว้นเพราะไม่เข้าข่ายสร้างปัญหาน้ำเสีย ขณะที่เมืองพัทยาแจงมีมาตรการยกเว้นเด่นชัด เพียงแต่ร่อนหนังสือแจ้งประชากรตามข้อมูลทะเบียนราษฎร หากพบไม่เข้าข่ายก็สามารถแจ้งเรื่องเพื่อตัดออกจากนระบบการจัดเก็บ
วันนี้ (26 ส.ค.) ที่ห้องประชุมสภาเมืองพัทยา นายวุฒิศักดิ์ เริ่มกิจการ รองนายกเมืองพัทยา เป็นประธานการประชุมร่วมกับตัวแทนชุมชนในเขตเมืองพัทยาจำนวนทั้ง 30 ชุมชน เพื่อทำการชี้แจ้งเกี่ยวกับมาตรการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการบำบัดน้ำเสียจากบ้านเรือนประชาชนและผู้ประ กอบการ ซึ่งเมืองพัทยาได้ดำเนินการอย่างเป็นทางการไปแล้ว ทั้งนี้เพื่อเป็นการจัดหารายได้ในการเดินระบบดังกล่าว รวมทั้งยังเป็นการขอความร่วมมือจากภาคประชาชนชาว ในการมีส่วนร่วมเพื่อลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม พบว่าสำหรับการจัดเก็บดังกล่าวมีประชาชนจำนวนมากที่ร้องขอความเป็นธรรมจากเมืองพัทยา เนื่องจากพบว่ามีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในอัตราที่สูงกว่าอดีต จนทำให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เนื่องจากจะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากเดิม ขณะที่สภาวะเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง นอกจากนี้ ประชาชนบางส่วนชี้ว่ามีที่พักอาศัยในหลายพื้นที่ควรมีการยกเว้นค่าธรรมเนียมการบำบัด เนื่องจากดูแล้วไม่เข้าข่ายในการสร้างปัญหาน้ำเสียและไม่มีระบบท่อรับน้ำของเมืองพัทยามารองรับแต่อย่างใด
ด้าน นายวุฒิศักดิ์ เริ่มกิจการ รองนายกเมืองพัทยา กล่าวว่า กรณีดังกล่าวถือว่าเป็นความจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องให้ความร่วมมือ ทั้งนี้ เนื่องจากระบบบำบัดน้ำเสียมีความจำเป็นต่อเมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยาเป็นอย่างมาก ที่สำคัญการเดินระบบบำบัดน้ำเสียนั้นเมืองพัทยาเองก็ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในอัตราที่สูง ทั้งเรื่องของค่าใช้จ่ายกระแสไฟ เดือนละนับล้านบาท ค่าแรง ค่าสารเคมี ค่าซ่อมบำรุง รวมทั้งค่าใช้จ่ายเงินคืนกองทุนสิ่งแวดล้อมอีกนับพันล้านบาท จึงจำเป็น ต้องมีการจัดเก็บเพื่อให้ระบบสามารถเดินไปได้ อีกทั้งยังเป็นไปตามมาตรการทางกฎหมายอีกด้วย
นายวุฒิศักดิ์กล่าวต่อไปว่า สำหรับการจัดเก็บค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสียนั้นเป็นการเรียกเก็บเงินจากค่าใช้จ่ายจริงซึ่งวัดจากปริมาณการใช้น้ำในระบบของการประปา ซึ่งมีอัตราการคิดค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันแล้วแต่ละประเภท ซึ่งเบื้องต้นได้กำหนดไว้ 3 ประเภทหลัก
ได้แก่ 1.ที่พักอาศัย ซึ่งจะคิดอัตรา 1 หน่วยหรือปริมาณน้ำ 1,000 ลิตรต่อค่าธรรมเนียม 3.5 บาท ประเภทที่ 2 คืออุตสาหกรรมขนาดกลาง อาทิ หอพัก อพาร์ทเม้นต์ บังกะโล หรือโรงแรมขนาดเล็ก จะคิดอัตราค่าธรรมเนียมในระดับ 1 หน่วยหรือปริมาณน้ำ 1,000 ลิตร ต่อค่าธรรมเนียมจำนวน 4 บาท และประเภทที่ 3 คืออุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จะคิดอัตราค่าธรรมเนียมในระดับ 1 หน่วย หรือปริมาณน้ำ 1,000 ลิตร ต่อค่าธรรมเนียม 4.5 บาท
อย่างไรก็ตาม สำหรับค่าบำบัดน้ำเสียนั้นก็ยังมีข้อยกเว้นให้กับประชาชนบางกลุ่ม คือ 1.กลุ่มที่พัก อาศัยที่มีการใช้น้ำไม่ถึงจำนวน 20 หน่วยหรือปริมาณน้ำ 20,000 ลิตร และ 2.กลุ่มชุม ชนที่ไม่มีท่อระบายน้ำเสียในระยะ 100 เมตรจากถนนไปยังอาคาร ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้หากมีหนังสือจากเมืองพัทยาแจ้งไปเพื่อขอจัดเก็บอัตราค่าธรรมเนียม ก็สามารถมายื่นเรื่องขอยกเว้นได้ตั้งแต่บัดนี้ แต่ที่มีหนังสือไปนั้นก็เพราะเมืองพัทยาแจกจ่ายไปยังประชาชนตามข้อมูลของสำนักทะเบียนราษฎรเท่านั้น และหากไม่เข้าข่ายก็แจ้งมายังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ เพื่อดำเนินการตัดรายชื่อออกจากบัญชีของการจัดเก็บต่อไป
วันนี้ (26 ส.ค.) ที่ห้องประชุมสภาเมืองพัทยา นายวุฒิศักดิ์ เริ่มกิจการ รองนายกเมืองพัทยา เป็นประธานการประชุมร่วมกับตัวแทนชุมชนในเขตเมืองพัทยาจำนวนทั้ง 30 ชุมชน เพื่อทำการชี้แจ้งเกี่ยวกับมาตรการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการบำบัดน้ำเสียจากบ้านเรือนประชาชนและผู้ประ กอบการ ซึ่งเมืองพัทยาได้ดำเนินการอย่างเป็นทางการไปแล้ว ทั้งนี้เพื่อเป็นการจัดหารายได้ในการเดินระบบดังกล่าว รวมทั้งยังเป็นการขอความร่วมมือจากภาคประชาชนชาว ในการมีส่วนร่วมเพื่อลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม พบว่าสำหรับการจัดเก็บดังกล่าวมีประชาชนจำนวนมากที่ร้องขอความเป็นธรรมจากเมืองพัทยา เนื่องจากพบว่ามีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในอัตราที่สูงกว่าอดีต จนทำให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เนื่องจากจะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากเดิม ขณะที่สภาวะเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง นอกจากนี้ ประชาชนบางส่วนชี้ว่ามีที่พักอาศัยในหลายพื้นที่ควรมีการยกเว้นค่าธรรมเนียมการบำบัด เนื่องจากดูแล้วไม่เข้าข่ายในการสร้างปัญหาน้ำเสียและไม่มีระบบท่อรับน้ำของเมืองพัทยามารองรับแต่อย่างใด
ด้าน นายวุฒิศักดิ์ เริ่มกิจการ รองนายกเมืองพัทยา กล่าวว่า กรณีดังกล่าวถือว่าเป็นความจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องให้ความร่วมมือ ทั้งนี้ เนื่องจากระบบบำบัดน้ำเสียมีความจำเป็นต่อเมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยาเป็นอย่างมาก ที่สำคัญการเดินระบบบำบัดน้ำเสียนั้นเมืองพัทยาเองก็ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในอัตราที่สูง ทั้งเรื่องของค่าใช้จ่ายกระแสไฟ เดือนละนับล้านบาท ค่าแรง ค่าสารเคมี ค่าซ่อมบำรุง รวมทั้งค่าใช้จ่ายเงินคืนกองทุนสิ่งแวดล้อมอีกนับพันล้านบาท จึงจำเป็น ต้องมีการจัดเก็บเพื่อให้ระบบสามารถเดินไปได้ อีกทั้งยังเป็นไปตามมาตรการทางกฎหมายอีกด้วย
นายวุฒิศักดิ์กล่าวต่อไปว่า สำหรับการจัดเก็บค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสียนั้นเป็นการเรียกเก็บเงินจากค่าใช้จ่ายจริงซึ่งวัดจากปริมาณการใช้น้ำในระบบของการประปา ซึ่งมีอัตราการคิดค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันแล้วแต่ละประเภท ซึ่งเบื้องต้นได้กำหนดไว้ 3 ประเภทหลัก
ได้แก่ 1.ที่พักอาศัย ซึ่งจะคิดอัตรา 1 หน่วยหรือปริมาณน้ำ 1,000 ลิตรต่อค่าธรรมเนียม 3.5 บาท ประเภทที่ 2 คืออุตสาหกรรมขนาดกลาง อาทิ หอพัก อพาร์ทเม้นต์ บังกะโล หรือโรงแรมขนาดเล็ก จะคิดอัตราค่าธรรมเนียมในระดับ 1 หน่วยหรือปริมาณน้ำ 1,000 ลิตร ต่อค่าธรรมเนียมจำนวน 4 บาท และประเภทที่ 3 คืออุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จะคิดอัตราค่าธรรมเนียมในระดับ 1 หน่วย หรือปริมาณน้ำ 1,000 ลิตร ต่อค่าธรรมเนียม 4.5 บาท
อย่างไรก็ตาม สำหรับค่าบำบัดน้ำเสียนั้นก็ยังมีข้อยกเว้นให้กับประชาชนบางกลุ่ม คือ 1.กลุ่มที่พัก อาศัยที่มีการใช้น้ำไม่ถึงจำนวน 20 หน่วยหรือปริมาณน้ำ 20,000 ลิตร และ 2.กลุ่มชุม ชนที่ไม่มีท่อระบายน้ำเสียในระยะ 100 เมตรจากถนนไปยังอาคาร ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้หากมีหนังสือจากเมืองพัทยาแจ้งไปเพื่อขอจัดเก็บอัตราค่าธรรมเนียม ก็สามารถมายื่นเรื่องขอยกเว้นได้ตั้งแต่บัดนี้ แต่ที่มีหนังสือไปนั้นก็เพราะเมืองพัทยาแจกจ่ายไปยังประชาชนตามข้อมูลของสำนักทะเบียนราษฎรเท่านั้น และหากไม่เข้าข่ายก็แจ้งมายังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ เพื่อดำเนินการตัดรายชื่อออกจากบัญชีของการจัดเก็บต่อไป
