ศูนย์ข่าวศรีราชา - ผู้แทนส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เครือข่ายผู้สูงอายุจังหวัดชลบุรี ทั้งหมด 11 อำเภอ รวมพลัง เดินทางมาร่วมจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ “วันแม่แห่งชาติ” ที่เทศบาลตำบลสัตหีบ
วันนี้ (9 ส.ค.) นายธานี สามารถกิจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ให้เกียรติมาเป็นประธาน เปิดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ณ อาคารอเนกประสงค์เทศบาลตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมีหน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เครือข่ายผู้สูงอายุ 11 อำเภอในจังหวัดชลบุรี มาร่วมกิจกรรมแสดงพลังความจงรักภักดี และเป็นอีก 1 ความดีที่ได้กระทำเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลถวายแด่แม่ของแผ่นดิน
นางปราณี มณีสาร ประธานเครือข่ายผู้สูงอายุจังหวัดชลบุรี กล่าวว่างาน เครือข่ายผู้สูงอายุจังหวัดชลบุรี ซึ่งประกอบด้วยผู้สูงอายุ ทั้ง 11 อำเภอ ได้รวมพลังแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เป็นประจำทุกปี ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 6 โดยหมุนเวียนจัดงานและกิจกรรมไปตามอำเภอต่างๆ ในเขตจังหวัดชลบุรี
สำหรับในปีนี้เครือข่ายผู้สูงอายุอำเภอสัตหีบ เป็นเจ้าภาพจัดงานโดยมีวัตถุประสงค์คือ เพื่อถวายความจงรักภักดีและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้ประกอบกิจกรรมร่วมกัน นำมาซึ่งความรักและผูกพันต่อกัน เพื่อส่งเสริมความสุขของผู้สูงอายุ ทางด้าน กาย อารมณ์ สังคม และจิตวิญญาณ ซึ่งได้รับเกียรติจาก นายธานี สามารถกิจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เปิดกรวย ถวายพานพุ่ม กล่าวถวายราชสดุดีและถวายพระพรชัยมงคล
นายธานี สามารถกิจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ประธานในพิธี กล่าวว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นคู่บุญบารมีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นที่รัก ทรงเป็นที่เคารพ ศรัทธาและทรงเป็นพระมิ่งขวัญของพสกนิกรชาวไทย พระองค์ได้ทรงพระราชดำริโครงการต่างๆ มากมายหลายโครงการ
เช่น ศูนย์ศิลปาชีพพิเศษบางไทร ศูนย์ศิลปาชีพจิตรลดา โครงการต่างๆ ดังกล่าวมีผลส่งเสริมให้พสกนิกรชาวไทยมีอาชีพและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พระองค์ทรงลำบากตรากตรำพระวรกาย ทรงงานหนัก เสด็จฯเยี่ยมพสกนิกรในท้องถิ่นทุรกันดารอย่างต่อเนื่อง ด้วยพระวิริยะอุตสาหะยิ่ง นอกจากจะเป็นที่รักที่เคารพของพสกนิกรชาวไทยแล้ว พระองค์ยังมีพระบารมีแผ่กว้างไพศาล เป็นที่ยอมรับนับถือของนานาอารยประเทศอีกด้วย
และได้กล่าวอีกว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ประเทศไทยกำลังจะเผชิญกับภาวะวิกฤติ ด้านสัดส่วนระหว่างผู้สูงอายุกับวัยแรงงาน เพราะผู้สูงอายุจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ประชากรวัยแรงงานมีจำนวนลดลง จึงอยากเสนอแนะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงพยาบาล เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล สนับสนุนส่งเสริมให้ผู้สูงอายุรวมตัวกันเป็นชมรม เครือข่าย ให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้สูงอายุได้กระทำกิจกรรมร่วมกันด้านสุขภาพ อารมณ์ และสังคม ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งในการแบ่งเบาภาระของทางราชการ และช่วยลดงบประมาณค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ซึ่งเป็นนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล
