เชียงราย - อธิบดีกรมศุลกากรเดินทางเป็นประธานทำลายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ที่ผ่านเข้ามาทางด่านอ.สายจ.เชียงรายมูลค่ากว่า 15 ล้านบาท พร้อมระบุจะต้องเข้มงวดให้มากขึ้นควบคู่ไปกับการส่ง
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีการทำลายสินค้าสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ประเภทแผ่นซีดี วีซีดี ดีวีดีทั้งเพลงและภาพยนตร์ รวมทั้งสินค้าประเภทเสื้อผ้า กระเป๋ายี่ห้อดังจำนวนมากโดยมีมูลค่ากว่า 15 ล้านบาทที่ จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและกรมศุลกากร ในเรื่องการสกัดกั้นการนำเข้าสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งส่วนใหญ่มีแหล่งผลิตในประเทศจีน และขนส่งผ่านพม่ามาตามเส้นทางถนน R3B ไทย-พม่า-จีนตอนใต้ เพื่อนำมาจำหน่ายในเขตภาคเหนือของไทยและบางส่วนจะส่งไปจำหน่ายยังกรุงเทพฯ ซึ่งหากสินค้าเหล่านี้ถูกส่งไปถึงกรุงเทพฯ ก็จะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นอย่างมหาศาล ดังนั้นกรมศุลกากรจึงเร่งปรามปราบเพื่อไม่ให้เกิดผลเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศ
สำหรับสินค้าที่มีการทำลายในครั้งนี้ ประกอบด้วย แผ่นวีซีดี ดีวีดีและซีดีจำนวน 17,247 แผ่น โทรศัพท์มือถือยี่ห้อดังจำนวน 110 เครื่อง นาฬิกาข้อมือหลายยี่ห้อจำนวน 492 เรือน เสื้อผ้า กระเป๋า กางเกง นาฬิกาหลายยี่ห้อ จำนวน 14,919 ชิ้น และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรมอันดีและการสาธารณสุข เช่น ไพ่ บุหรี่ แผ่นหนังและวัตถุลามก เหล้า ยาไวอาก้า ยาลดความอ้วน ครีมทาผิว จำนวน 33,236 ชิ้น รวมมูลค่าของกลางทั้งหมดจำนวน 15,000,721 บาท
นายวิสุทธิ์ กล่าวอีกว่าด่านศุลกากรพยายามเข้มงวดการนำเข้าและส่งออกสินค้าตามแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง เพราะมักจะมีสินค้าที่ผิดกฎหมายที่พยายามนำมาจำหน่ายและใช้ด่านชายแดนของประเทศไทยเป็นทางผ่าน อย่างไรก็ตาม ก็จะควบคู่ไปกับการส่งเสริมด้านการค้าที่สะดวกสบายมากขึ้นด้วย เพราะเชื่อมั่นว่าในอนาคตการค้าผ่านด่านชายแดนด้าน จ.เชียงราย ซึ่งมีอยู่ 3 จุดคือ อ.แม่สาย อ.เชียงแสน และ อ.เชียงของ จะมีการพัฒนามากขึ้นเพราะมีถนนหนทางเชื่อมระหว่างไทย-จีน มากขึ้นทั้งถนน R3B ผ่านพม่าและ R3A ผ่าน สปป.ลาว รวมทั้งทางเรือในแม่น้ำโขง
ดังนั้น กรมศุลกากรจึงมีแนวทางในการพัฒนาด่านต่างๆ ให้เป็นรูปแบบ Single Window โดยจะดำเนินการไปทีละด่านๆ จากนั้นสร้างเครือข่ายให้ดำเนินการได้อย่างสมบูรณ์ภายในประเทศ และขยายเครือข่ายไปยังด่านต่างๆ ของประเทศในภูมิภาคนี้ต่อไปซึ่งก็จะทำให้การขนส่งและค้าขายสินค้าชายแดนในภูมิภาคสะดวกมากขึ้น
ด้านนายชูชัย อุดมโภชน์ นายด่านศุลกากรแม่สาย กล่าวว่าการค้าชายแดนไทย-พม่า ผ่านด่าน อ.แม่สาย ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2552 จนถึงเดือน ส.ค.นี้ มีมูลค่าการรส่งออกแล้วกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วยเดียวกันของปีก่อนกว่า 15% และมีการนำเข้าจำนวน 300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 10%
สำหรับการส่งออกส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง สินค้าอุปโภคบริโภค ฯลฯ ส่วนสินค้านำเข้าส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับไม้สักซุง ซึ่งพบว่าในปีนี้มีการนำเข้ามาแล้ว 2 ครั้ง เป็นมูลค่าแล้วกว่า 200 ล้านบาท คาดว่าปลายปีจะมีการนำเข้าอีกครั้งหนึ่งซึ่งก็จะทำให้มูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นอีก เพราะไม้สักซุงมีการเก็บอัตราภาษีต่ำแค่ 1% และภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT อีก 7%
อย่างไรก็ตาม นายสุเมธ แสงนิ่มนวล ผู้ว่าราชการ จังหวัดเชียงราย กล่าวว่าปัจจุบันถนน R3A สามารถใช้การขนส่งและเดินทางไปมาได้โดยสะดวกแล้ว แต่สำหรับถนน R3B คงจะต้องปรับปรุงเรื่องเส้นทางรวมทั้งยังไม่มีการเปิดด่านที่ต้าลั้ว ชายแดนเมืองลากับประเทศจีน ให้เป็นด่านสากล ดังนั้นการขนส่งสินค้าจึงทำไม่ได้เต็มที่
อย่างไรก็ตาม จังหวัดทราบถึงปัญหานี้ดีและได้จัดทำรายงานไปยังรัฐบาลแล้ว รวมทั้งได้หารือกับทางรัฐบาลท้องถิ่นของเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลหยุนหนัน จีนตอนใต้ แล้ว ขณะเดียวกันทางกรมศุลกากรก็ส่งเสริมให้ด่านการค้าทุกแห่งเป็น Single Window ดังนั้นในอนาคตคงจะมีการพัฒนาของด่านต้าลั้วดังกล่าวแน่นอน
"สภาพปัจจุบันถนน R3A อาจจะรุ่งกว่าเพราะมีการเดินทางผ่านไปมาได้สะดวกและสะพานข้ามแม่น้ำโขงก็กำลังจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2555 นี้ แต่หากมองในแง่ของการท่องเที่ยวพบว่าทั้งสองเส้นทางมีทัศนียภาพและความน่าสนใจนแตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อคนเคยไปเส้นทางหนึ่งแล้วก็ย่อมอยากไปอีกเส้นทางหนึ่งดังนั้นในอนาคตก็คงจะเปิดใช้งานได้เหมือนกัน" นายสุเมธ กล่าว
ขณะที่นายอิทธิเดช แก้วหลวง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เชียงราย ในฐานะประธานกรรมาธิการกิจการการค้าชายแดน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่าสภาพในปัจจุบัน คือ ประเทศจีนมีการกั้นหรือล็อคด่านต้าลั้วเอาไว้เนื่องจากมีสาเหตุภายในประเทศพม่า ปัญหาชนกลุ่มน้อย และอื่นๆ ทั้งๆ ที่ในอดีตด่านนี้เคยมีการเปิดและใช้เพื่อการเดินทางไปมาตามถนน R3B ได้โดยสะดวก ดังนั้นทางคณะกรรมาธิการฯ จึงได้ประสานไปยังกงสุลใหญ่จีนประจำเชียงใหม่ ท้องถิ่นประเทศพม่า และเปิดแนวคิดตามเวทีต่างๆ อย่างต่อเนื่อง จึงเชื่อว่าในอนาคตด่านต้าลั้วคงจะเปิดตามปกติ เพราะเส้นทางนี้เชื่อมประเทศไทยกับจีนตอนใต้ได้ใกล้และสะดวกกว่าถนน R3A ผ่าน สปป.ลาว เสียอีก