กาญจนบุรี - จังหวัดกาญจนบุรีสั่งสนธิกำลังทหาร-ตำรวจ เฝ้าระวังหวัดพันธุ์ใหม่ตามแนวชายแดน ส่ง อสม.12,000 คนลงเอกซเรย์พื้นที่ทุกหมู่บ้าน พร้อมกำชับ 5 อำเภอแนวเขตติดชายแดนพม่าตั้งจุดตรวจจุดสกัดตามเส้นทางหลักป้องกันปราบปรามยาเสพติดและขบวนการลักลอบขนแรงงานเถื่อนด้วย
วันนี้ (15 พ.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น. นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เป็นประธานในกาสรประชุมเชิงปฏิบัติการและฝึกซ้อมแผนเพื่อเตรียมความพร้อมรับการระบาดใหญ่ขอโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ชนิด A (H1N1) และโรคไข้หวัดนก ที่ห้องประชุมอาคารหลวงปู่หลิว สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี ต.ปากแพรก อ.เมือง จ.กาญจนบุรี โดยมีข้าราชการ, ทหาร, ตำรวจ, ตม. และภาคเอกชน ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ตัวแทนสถานศึกษาและสื่อมวลชนรวมถึงตัวแทนองค์กรเอกชนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกว่า 100 คนเข้าร่วมประชุม
นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยเกี่ยวกับการประชุมว่า จังหวัดกาญจนบุรีต้องยืนยันก่อนว่า ในพื้นที่กาญจนบุรีไม่มีผู้ต้องสงสัยหรือผู้ป่วยแต่อย่างใด แต่กาญจนบุรีมีความพร้อมเพื่อเป็นการเตรียมการที่จะรับมือทั้งโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009 ชนิด A (H1N1) และโรคไข้หวัดนก เพื่อเป็นการเพิ่มความเข้าใจในการปฏิบัติอย่างไม่ประมาท ดังนั้นจึงมาทำความเข้าใจร่วมกันอีกครั้ง
โดยในที่ประชุมได้ข้อสรุปว่า ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรีได้ร่วมกับสำนักงานป้องกันบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดกาญจนบุรีจะเปิดศูนย์เฝ้าระวังรับแจ้งเหตุ 24 ชม. โดยมีการเตรียมความพร้อมในสถานพยาบาลทุกแห่งโดยเฉพาะโรงพยาบาลชุมชุมมีการเตรียมห้องปลอดเชื้อเพื่อใช้ในการแยกผู้ต้องสงสัยในการใช้บริการในสถานพยาบาล ให้ อสม.12,000 กว่าคน ลงพื้นที่ให้ความรู้ต่อชาวบ้านเพื่อเป็นการเฝ้าระวังและเอกซเรย์ทุกหมู่บ้าน
โดยให้สังเกตว่าหากพบผู้ป่วยที่อาการเข้าข่ายให้แจ้งต่อสถานพยาบาลใกล้ที่สุดเพื่อเข้าควบคุมโรคทันที ส่วนสถานประกอบการธุรกิจต่างๆ ผู้ประกอบการจะให้ความรู้และสังเกตผู้ใช้แรงงานในสถานประกอบการอย่าใกล้ชิด ในส่วนของผู้ประกอบการรีสอร์ทโรงแรมที่พักต่างๆให้สังเกตนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีข้อมูลที่มีผู้ป่วยให้ดูแลอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษแต่ได้กำชับว่าต้องไม่สร้างปัญหารบกวนสร้างความรำคาญใจแก่นักท่องเที่ยวอีกด้วยเช่นกัน
รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวถึงการเฝ้าระวังตามแนวชายแดนไทย-พม่าว่า ตลอดแนวชายแดนกาญจนบุรี ทั้ง 5 อำเภอที่มีแนวเขตติดชายแดนพม่า คือ อ.เมือง, อ.ทองผาภูมิ, อ.สังขละบุรี, อ.ด่านมะขามเตี้ย และ อ.ไทรโยค ให้ฝ่ายปกครอง, ทหาร, ทหารพราน, ตำรวจทั้งภูธร, ตชด. และ ตม.ที่ขณะนี้สนธิกำลังตั้งจุดตรวจจุดสกัดตามเส้นทางหลักป้องกันปราบปรามยาเสพติดและขบวนการลักลอบขนแรงงานเถื่อนที่ตั้งอยู่บนถนนเส้นทางหลัก 5 จุด คือ
1.จุดตรวจจุดสกัดร่วม บ้านน้ำเกิ๊ก ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี 2.ที่จุดสกัดแม่น้ำรันตี อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี 3.จุดตรวจจุดสกัดร่วม บ้านเกริงกาเวีย ต.ปลังเผล อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี 4.จุดตรวจจุดสกัดร่วมที่บริเวณ สามแยกถนนสายกาญจนบุรี-ทองผาภูมิ-สังขละบุรี ที่ บ้านท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี และ 5.จุดตรวจร่วมบ้านพุองกะ ต.ท่าเสา อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
โดยให้ทุกจุดตรวจจุดสกัดร่วมเฝ้าระวังผู้ใช้เส้นทางสัญจรโดยเฉพาะในส่วนของแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองที่ต้องดำเนินการอย่างเข้มงวด ในส่วนของสถานศึกษาต่างๆ ต้องเร่งให้ความรู้แก่นักเรียนนักศึกษาเพื่อนำไปถ่ายทอดให้แก่ผู้ปกครองและชุมชนต่าง ในส่วนของฝ่ายปกครองมอบเป็นนโยบายให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประสานงาน อปท.ทุกแห่งให้ความรู้และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในทุกพื้นที่ได้รับทราบและขอความร่วมมือสื่อมวลชนทุกแขนงให้ร่วมประชาสัมพันธ์
โดยเฉพาะในส่วนของสถานีวิทยุทั้งภาคราชการและวิทยุชุมชน รวมถึงช่อง 11 ทีวีไทย ที่จะจัดเวลาให้ส่วนราชการได้ให้วิทยากรเผยแพร่ความรู้แก่เครือข่าย 18 จังหวัดภาคกลางต่อไป
วันนี้ (15 พ.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น. นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เป็นประธานในกาสรประชุมเชิงปฏิบัติการและฝึกซ้อมแผนเพื่อเตรียมความพร้อมรับการระบาดใหญ่ขอโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ชนิด A (H1N1) และโรคไข้หวัดนก ที่ห้องประชุมอาคารหลวงปู่หลิว สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี ต.ปากแพรก อ.เมือง จ.กาญจนบุรี โดยมีข้าราชการ, ทหาร, ตำรวจ, ตม. และภาคเอกชน ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ตัวแทนสถานศึกษาและสื่อมวลชนรวมถึงตัวแทนองค์กรเอกชนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกว่า 100 คนเข้าร่วมประชุม
นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยเกี่ยวกับการประชุมว่า จังหวัดกาญจนบุรีต้องยืนยันก่อนว่า ในพื้นที่กาญจนบุรีไม่มีผู้ต้องสงสัยหรือผู้ป่วยแต่อย่างใด แต่กาญจนบุรีมีความพร้อมเพื่อเป็นการเตรียมการที่จะรับมือทั้งโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009 ชนิด A (H1N1) และโรคไข้หวัดนก เพื่อเป็นการเพิ่มความเข้าใจในการปฏิบัติอย่างไม่ประมาท ดังนั้นจึงมาทำความเข้าใจร่วมกันอีกครั้ง
โดยในที่ประชุมได้ข้อสรุปว่า ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรีได้ร่วมกับสำนักงานป้องกันบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดกาญจนบุรีจะเปิดศูนย์เฝ้าระวังรับแจ้งเหตุ 24 ชม. โดยมีการเตรียมความพร้อมในสถานพยาบาลทุกแห่งโดยเฉพาะโรงพยาบาลชุมชุมมีการเตรียมห้องปลอดเชื้อเพื่อใช้ในการแยกผู้ต้องสงสัยในการใช้บริการในสถานพยาบาล ให้ อสม.12,000 กว่าคน ลงพื้นที่ให้ความรู้ต่อชาวบ้านเพื่อเป็นการเฝ้าระวังและเอกซเรย์ทุกหมู่บ้าน
โดยให้สังเกตว่าหากพบผู้ป่วยที่อาการเข้าข่ายให้แจ้งต่อสถานพยาบาลใกล้ที่สุดเพื่อเข้าควบคุมโรคทันที ส่วนสถานประกอบการธุรกิจต่างๆ ผู้ประกอบการจะให้ความรู้และสังเกตผู้ใช้แรงงานในสถานประกอบการอย่าใกล้ชิด ในส่วนของผู้ประกอบการรีสอร์ทโรงแรมที่พักต่างๆให้สังเกตนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีข้อมูลที่มีผู้ป่วยให้ดูแลอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษแต่ได้กำชับว่าต้องไม่สร้างปัญหารบกวนสร้างความรำคาญใจแก่นักท่องเที่ยวอีกด้วยเช่นกัน
รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวถึงการเฝ้าระวังตามแนวชายแดนไทย-พม่าว่า ตลอดแนวชายแดนกาญจนบุรี ทั้ง 5 อำเภอที่มีแนวเขตติดชายแดนพม่า คือ อ.เมือง, อ.ทองผาภูมิ, อ.สังขละบุรี, อ.ด่านมะขามเตี้ย และ อ.ไทรโยค ให้ฝ่ายปกครอง, ทหาร, ทหารพราน, ตำรวจทั้งภูธร, ตชด. และ ตม.ที่ขณะนี้สนธิกำลังตั้งจุดตรวจจุดสกัดตามเส้นทางหลักป้องกันปราบปรามยาเสพติดและขบวนการลักลอบขนแรงงานเถื่อนที่ตั้งอยู่บนถนนเส้นทางหลัก 5 จุด คือ
1.จุดตรวจจุดสกัดร่วม บ้านน้ำเกิ๊ก ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี 2.ที่จุดสกัดแม่น้ำรันตี อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี 3.จุดตรวจจุดสกัดร่วม บ้านเกริงกาเวีย ต.ปลังเผล อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี 4.จุดตรวจจุดสกัดร่วมที่บริเวณ สามแยกถนนสายกาญจนบุรี-ทองผาภูมิ-สังขละบุรี ที่ บ้านท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี และ 5.จุดตรวจร่วมบ้านพุองกะ ต.ท่าเสา อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
โดยให้ทุกจุดตรวจจุดสกัดร่วมเฝ้าระวังผู้ใช้เส้นทางสัญจรโดยเฉพาะในส่วนของแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองที่ต้องดำเนินการอย่างเข้มงวด ในส่วนของสถานศึกษาต่างๆ ต้องเร่งให้ความรู้แก่นักเรียนนักศึกษาเพื่อนำไปถ่ายทอดให้แก่ผู้ปกครองและชุมชนต่าง ในส่วนของฝ่ายปกครองมอบเป็นนโยบายให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประสานงาน อปท.ทุกแห่งให้ความรู้และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในทุกพื้นที่ได้รับทราบและขอความร่วมมือสื่อมวลชนทุกแขนงให้ร่วมประชาสัมพันธ์
โดยเฉพาะในส่วนของสถานีวิทยุทั้งภาคราชการและวิทยุชุมชน รวมถึงช่อง 11 ทีวีไทย ที่จะจัดเวลาให้ส่วนราชการได้ให้วิทยากรเผยแพร่ความรู้แก่เครือข่าย 18 จังหวัดภาคกลางต่อไป