แพร่ - ครูหื่นลอยนวล ตำรวจเฉื่อย “ผู้ปกครอง-ชุมชน” เต้นจี้เอาผิดให้ได้ บิดาสุดทนขอเป็นโจทก์ร่วม ขณะที่เขตพื้นที่การศึกษาแพร่เขต 2 รับผิดชอบสั่งปลดครูหื่นกามแล้ว
ปัญหาการล่วงละะเมิดทางเพศระหว่างครูกับนักเรียนในจังหวัดแพร่ เกิดขึ้นอีกแล้ว ซึ่งมารดาของผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความต่อ พ.ต.ท.ชูศักดิ์ พูนสวัสดิ์ พนักงานสอบสวนเวร สภ.วังชิ้น จ.แพร่ ตั้งแต่ค่ำวันที่ 30 ม.ค.52 แต่หลังแจ้งความแล้วพนักงานสอบสวน กลับยังไม่ดำเนินการต่อผู้ต้องหาแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ชาวบ้านยังพบว่านายนิวัธ ขวัญนิยม อายุ 29 ปี ครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา ในโรงเรียนบ้านค้างปินใจ เขตพื้นที่การศึกษาแพร่เขต 2 ที่ถูกกล่าวหา ได้ติดต่อกับพนักงานสอบสวนเพื่อใช้ช่วยเคลียร์คดี ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุของการดำเนินการล่าช้าของพนักงานสอบสวน
นายเกียรติ คำน้อย สมาชิก อบต.แม่พุง ได้นำผู้ปกครอง บิดามารดา และนางสาวเอ๋ (นามสมมุติ ) อายุ 15 ปี เด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านค้างปินใจ ชั้นมัธยมปีที่ 3 เข้าพบ พ.ต.ท.ชูศักดิ์ พูนสวัสดิ์ พนักงานสอบสวน สภ.วังชิ้น เจ้าของคดี เมื่อ 2 ก.พ.52 ที่ผ่านมา เพื่อทวงถามความคืบหน้าการดำเนินคดี ซึ่งพบว่ายังไม่มีการดำเนินการใดๆ จึงได้เร่งให้ดำเนินคดี
โดยการกระทำความผิดดังกล่าว นางสาวเอ๋ให้การว่า เวลา 14.00 น.วันที่ 27 มกราคม 2552 ครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์ ได้เรียกให้ตนเข้าไปพบที่บ้านพักครู จึงได้ไปตามคำสั่งเมื่อไปถึงได้พาเข้าไปในห้อง จากนั้นได้ทำการปลุกปล้ำ กอดรัดถอดเสื้อและใช้ปากดูดบริเวณหน้าอก จนเป็นรอยจ้ำสีแดงมากกว่า 10 รอย ซึ่งตนพยายามขัดขืนแต่ไม่สามารถต้านทางแรงของครูได้ แต่ยังโชคดีที่เพื่อนผ่านมาบริเวณบ้านพักครูเข้ามาช่วยทำให้ครูหยุดการกระทำอนาจารและปล่อยตัวไป หลังเกิดเหตุได้กลับบ้านแจ้งให้มารดาทราบ ทำให้มารดาตัดสินใจเข้าแจ้งความเมื่อวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา
นายเกียรติ กล่าวว่า หลังที่ได้เข้าทวงถามทำให้มีการสอบสวนผู้เสียหาย และเริ่มดำเนินคดี โดยมีการสอบสวนผู้เสียหาย ซึ่งมีเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์เข้าร่วมในการสอบสวนเนื่องจากเป็นคดีที่เกี่ยวกับเยาวชน แต่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตำรวจไม่ยอมดำเนินคดีหลังรับแจ้งความแล้ว โดยผู้ปกครองมีภาพถ่ายรอยแผลและผลตรวจของแพทย์ รวมทั้งผู้กระทำผิดก็ยังอยู่ในพื้นที่
นายสมชาย ไชยเขียว ผอ.โรงเรียนบ้านค้างปินใจ กล่าวว่า ทางโรงเรียนเริ่มทราบเรื่องจากกรรมการศึกษา นำข่าวมาบอก ตนได้ทำการสอบสวนข้อเท็จจริง และพบว่าเหตุที่เกิดขึ้นจากการกระทำของครูในสังกัดจริง ได้รายงานให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแพร่เขต 2 ทราบ และได้มีการดำเนินการตามขั้นตอนอย่างรวดเร็วในการปลดออกจากตำแหน่งโดยด่วน ซึ่งครูรายนี้เป็นครูจ้างสอนอยู่ในอัตราจ้างทำหน้าที่ครูในโรงเรียนแห่งนี้ได้เพียง 1 ปีเศษเท่านั้น ทางโรงเรียนเห็นว่าควรดำเนินการอย่างเฉียบขาด
ขณะเดียวกัน ทางสำนักงานพื้นที่การศึกษาแพร่เขต 2 ได้เข้าเยี่ยมผู้ปกครองและเด็กผู้เสียหายถึงบ้าน พร้อมกับได้สั่งการให้โรงเรียนช่วยดูเรื่องขวัญกำลังใจและการเยียวยาด้านสภาวะจิตใจของเด็กที่ถูกระเมิดทางเพศรายนี้ และได้สั่งการให้นิติกรของสำนักงานฯ เข้าช่วยเหลือด้านคดีต่อผู้ปกครองนักเรียนด้วย
มารดาของนางสาวเอ๋ กล่าวว่า พฤติกรรมของครูรายนี้เกิดขึ้นหลายครั้งลูกสาวนำเรื่องมาเล่าให้ผู้ปกครองฟัง โดยเฉพาะตนและสามีแยกทางกัน แต่ได้ให้การดูแลลูกเป็นอย่างดี โดยสามีได้ซื้อโทรศัพท์ให้กับลูกสาวเพื่อติดต่อพูดคุย แต่พบว่าครูรายนี้ได้ใช้วิธีการโทรจีบ และพยายามหลอกนางสาวเอ๋ลูกสาวอยู่อย่างต่อเนื่อง ตนได้เก็บโทรศัพท์ของลูกสาวไว้เพื่อตัดปัญหา แต่ครูรายนี้ได้ทำการซื้อโทรศัพท์ให้ลูกสาวใหม่ และโทรหาอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดโทรศัพท์หลอกลวงให้ลูกสาวเข้าไปหาที่บ้านพักครูเมื่อสบโอกาสได้ทำการปลุกปล้ำ ทำอนาจารอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตามตนไม่รู้กฎหมายจึงให้สามีที่เลิกกันแล้วขอเป็นโจทย์ร่วม แต่ตำรวจกลับไม่ยอม
ปัญหาการล่วงละะเมิดทางเพศระหว่างครูกับนักเรียนในจังหวัดแพร่ เกิดขึ้นอีกแล้ว ซึ่งมารดาของผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความต่อ พ.ต.ท.ชูศักดิ์ พูนสวัสดิ์ พนักงานสอบสวนเวร สภ.วังชิ้น จ.แพร่ ตั้งแต่ค่ำวันที่ 30 ม.ค.52 แต่หลังแจ้งความแล้วพนักงานสอบสวน กลับยังไม่ดำเนินการต่อผู้ต้องหาแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ชาวบ้านยังพบว่านายนิวัธ ขวัญนิยม อายุ 29 ปี ครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา ในโรงเรียนบ้านค้างปินใจ เขตพื้นที่การศึกษาแพร่เขต 2 ที่ถูกกล่าวหา ได้ติดต่อกับพนักงานสอบสวนเพื่อใช้ช่วยเคลียร์คดี ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุของการดำเนินการล่าช้าของพนักงานสอบสวน
นายเกียรติ คำน้อย สมาชิก อบต.แม่พุง ได้นำผู้ปกครอง บิดามารดา และนางสาวเอ๋ (นามสมมุติ ) อายุ 15 ปี เด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านค้างปินใจ ชั้นมัธยมปีที่ 3 เข้าพบ พ.ต.ท.ชูศักดิ์ พูนสวัสดิ์ พนักงานสอบสวน สภ.วังชิ้น เจ้าของคดี เมื่อ 2 ก.พ.52 ที่ผ่านมา เพื่อทวงถามความคืบหน้าการดำเนินคดี ซึ่งพบว่ายังไม่มีการดำเนินการใดๆ จึงได้เร่งให้ดำเนินคดี
โดยการกระทำความผิดดังกล่าว นางสาวเอ๋ให้การว่า เวลา 14.00 น.วันที่ 27 มกราคม 2552 ครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์ ได้เรียกให้ตนเข้าไปพบที่บ้านพักครู จึงได้ไปตามคำสั่งเมื่อไปถึงได้พาเข้าไปในห้อง จากนั้นได้ทำการปลุกปล้ำ กอดรัดถอดเสื้อและใช้ปากดูดบริเวณหน้าอก จนเป็นรอยจ้ำสีแดงมากกว่า 10 รอย ซึ่งตนพยายามขัดขืนแต่ไม่สามารถต้านทางแรงของครูได้ แต่ยังโชคดีที่เพื่อนผ่านมาบริเวณบ้านพักครูเข้ามาช่วยทำให้ครูหยุดการกระทำอนาจารและปล่อยตัวไป หลังเกิดเหตุได้กลับบ้านแจ้งให้มารดาทราบ ทำให้มารดาตัดสินใจเข้าแจ้งความเมื่อวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา
นายเกียรติ กล่าวว่า หลังที่ได้เข้าทวงถามทำให้มีการสอบสวนผู้เสียหาย และเริ่มดำเนินคดี โดยมีการสอบสวนผู้เสียหาย ซึ่งมีเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์เข้าร่วมในการสอบสวนเนื่องจากเป็นคดีที่เกี่ยวกับเยาวชน แต่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตำรวจไม่ยอมดำเนินคดีหลังรับแจ้งความแล้ว โดยผู้ปกครองมีภาพถ่ายรอยแผลและผลตรวจของแพทย์ รวมทั้งผู้กระทำผิดก็ยังอยู่ในพื้นที่
นายสมชาย ไชยเขียว ผอ.โรงเรียนบ้านค้างปินใจ กล่าวว่า ทางโรงเรียนเริ่มทราบเรื่องจากกรรมการศึกษา นำข่าวมาบอก ตนได้ทำการสอบสวนข้อเท็จจริง และพบว่าเหตุที่เกิดขึ้นจากการกระทำของครูในสังกัดจริง ได้รายงานให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแพร่เขต 2 ทราบ และได้มีการดำเนินการตามขั้นตอนอย่างรวดเร็วในการปลดออกจากตำแหน่งโดยด่วน ซึ่งครูรายนี้เป็นครูจ้างสอนอยู่ในอัตราจ้างทำหน้าที่ครูในโรงเรียนแห่งนี้ได้เพียง 1 ปีเศษเท่านั้น ทางโรงเรียนเห็นว่าควรดำเนินการอย่างเฉียบขาด
ขณะเดียวกัน ทางสำนักงานพื้นที่การศึกษาแพร่เขต 2 ได้เข้าเยี่ยมผู้ปกครองและเด็กผู้เสียหายถึงบ้าน พร้อมกับได้สั่งการให้โรงเรียนช่วยดูเรื่องขวัญกำลังใจและการเยียวยาด้านสภาวะจิตใจของเด็กที่ถูกระเมิดทางเพศรายนี้ และได้สั่งการให้นิติกรของสำนักงานฯ เข้าช่วยเหลือด้านคดีต่อผู้ปกครองนักเรียนด้วย
มารดาของนางสาวเอ๋ กล่าวว่า พฤติกรรมของครูรายนี้เกิดขึ้นหลายครั้งลูกสาวนำเรื่องมาเล่าให้ผู้ปกครองฟัง โดยเฉพาะตนและสามีแยกทางกัน แต่ได้ให้การดูแลลูกเป็นอย่างดี โดยสามีได้ซื้อโทรศัพท์ให้กับลูกสาวเพื่อติดต่อพูดคุย แต่พบว่าครูรายนี้ได้ใช้วิธีการโทรจีบ และพยายามหลอกนางสาวเอ๋ลูกสาวอยู่อย่างต่อเนื่อง ตนได้เก็บโทรศัพท์ของลูกสาวไว้เพื่อตัดปัญหา แต่ครูรายนี้ได้ทำการซื้อโทรศัพท์ให้ลูกสาวใหม่ และโทรหาอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดโทรศัพท์หลอกลวงให้ลูกสาวเข้าไปหาที่บ้านพักครูเมื่อสบโอกาสได้ทำการปลุกปล้ำ ทำอนาจารอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตามตนไม่รู้กฎหมายจึงให้สามีที่เลิกกันแล้วขอเป็นโจทย์ร่วม แต่ตำรวจกลับไม่ยอม