ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ – เชียงใหม่จัดกิจกรรมวันสิ่งแวดล้อมไทยมุ่งรณรงค์ตระหนัก “ภาวะโลกร้อน” ขณะที่ ผอ.สำนักงานสิ่งแวดล้อมเผยเริ่มเตรียมพร้อมรับมือ “หมอกควัน” แล้ว จ่อตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุเผาในที่โล่ง เชื่อปัญหาปีนี้ไม่รุนแรงถึงวิกฤต
วันนี้ (4 ธ.ค.) ที่ลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ในตัวเมืองเชียงใหม่ นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ผูว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานเปิดงาน “มหกรรมรวมพลคนไทย หัวใจสีเขียว กู้วิกฤตโลกร้อน รู้แล้วทำเลย” ที่จัดขึ้นเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมไทยประจำปี 2551 โดยมีนักเรียน นักศึกษา ประชาชน และหน่วยงานองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมจำนวนมาก ซึ่งกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย นิทรรศการรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับภาวะโลกร้อน เวทีเสวนา การประกวดวาดภาพและตอบปัญหาชิงรางวัล
ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงใหม่ได้หันมาตระหนักและใส่ใจกับปัญหาภาวะโลกร้อนมากขึ้น รวมทั้งได้มีการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันเพื่อแสวงหาแนวทางในการลดวิกฤตดังกล่าว ตลอดจนเกิดความตระหนักในการที่จะร่วมมือกันในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ดีให้คงอยู่เป็นมรดกสำหรับคนในรุ่นต่อๆ ไปด้วย
ขณะที่ นายอภิวัฒน์ คุณารักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 (เชียงใหม่) กล่าวถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญในปัจจุบันของไทยว่ายังคงเป็นปัญหาพื้นที่ป่าไม้ที่ถูกบุกรุกทำลาย แม้ว่าที่ผ่านมาจะแนวโน้มที่ลดลงก็ตาม ส่วนปัญหาที่เกี่ยวกับน้ำและอากาศนั้น มีการเกิดขึ้นบ้างเป็นช่วงตามจังหวะเวลา เช่น ช่วงฤดูฝนอาจจะเกิดปัญหาน้ำท่วม ขณะที่ช่วงหน้าแล้งอาจจะเกิดปัญหาน้ำแล้ง หรือช่วงฤดูหนาวในพื้นที่ทางภาคเหนืออาจจะเกิดปัญหาหมอกควัน เป็นต้น
สำหรับการเตรียมความพร้อมป้องกันแก้ไขปัญหาหมอกควันนั้น ผู้อำนวยการสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 กล่าวว่า เวลานี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กับกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมมือกันเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้แล้ว โดยเน้นพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือเป็นสำคัญ ซึ่งในเร็วๆ นี้คาดว่าจะมีการเปิดศูนย์รับร้องเรียนการเผา ตั้งแต่ละระดับจังหวัดไปถึงระดับท้องถิ่น
ทั้งนี้ โดยส่วนตัวเชื่อว่าสถานการณ์ปัญหาในปีนี้ไม่น่าจะรุนแรงเท่าปี 2550 ที่เคยเกิดปัญหาถึงขั้นวิกฤต เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีประสบการณ์มาแล้วในการเผชิญหน้ากับปัญหานี้และได้มีการเตรียมตัวป้องกันล่วงหน้า นอกจากนี้ยังเชื่อว่าผลจากการที่ราคาข้าวโพดตกต่ำจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มีการเผาลดลง เพราะไม่มีการเผานาหรือป่าเพื่อขยายพื้นที่ปลูกข้าวโพดเหมือนในช่วงที่ผ่านมาที่ข้าวโพดมีราคาสูง
วันนี้ (4 ธ.ค.) ที่ลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ในตัวเมืองเชียงใหม่ นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ผูว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานเปิดงาน “มหกรรมรวมพลคนไทย หัวใจสีเขียว กู้วิกฤตโลกร้อน รู้แล้วทำเลย” ที่จัดขึ้นเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมไทยประจำปี 2551 โดยมีนักเรียน นักศึกษา ประชาชน และหน่วยงานองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมจำนวนมาก ซึ่งกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย นิทรรศการรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับภาวะโลกร้อน เวทีเสวนา การประกวดวาดภาพและตอบปัญหาชิงรางวัล
ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงใหม่ได้หันมาตระหนักและใส่ใจกับปัญหาภาวะโลกร้อนมากขึ้น รวมทั้งได้มีการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันเพื่อแสวงหาแนวทางในการลดวิกฤตดังกล่าว ตลอดจนเกิดความตระหนักในการที่จะร่วมมือกันในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ดีให้คงอยู่เป็นมรดกสำหรับคนในรุ่นต่อๆ ไปด้วย
ขณะที่ นายอภิวัฒน์ คุณารักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 (เชียงใหม่) กล่าวถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญในปัจจุบันของไทยว่ายังคงเป็นปัญหาพื้นที่ป่าไม้ที่ถูกบุกรุกทำลาย แม้ว่าที่ผ่านมาจะแนวโน้มที่ลดลงก็ตาม ส่วนปัญหาที่เกี่ยวกับน้ำและอากาศนั้น มีการเกิดขึ้นบ้างเป็นช่วงตามจังหวะเวลา เช่น ช่วงฤดูฝนอาจจะเกิดปัญหาน้ำท่วม ขณะที่ช่วงหน้าแล้งอาจจะเกิดปัญหาน้ำแล้ง หรือช่วงฤดูหนาวในพื้นที่ทางภาคเหนืออาจจะเกิดปัญหาหมอกควัน เป็นต้น
สำหรับการเตรียมความพร้อมป้องกันแก้ไขปัญหาหมอกควันนั้น ผู้อำนวยการสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 กล่าวว่า เวลานี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กับกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมมือกันเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้แล้ว โดยเน้นพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือเป็นสำคัญ ซึ่งในเร็วๆ นี้คาดว่าจะมีการเปิดศูนย์รับร้องเรียนการเผา ตั้งแต่ละระดับจังหวัดไปถึงระดับท้องถิ่น
ทั้งนี้ โดยส่วนตัวเชื่อว่าสถานการณ์ปัญหาในปีนี้ไม่น่าจะรุนแรงเท่าปี 2550 ที่เคยเกิดปัญหาถึงขั้นวิกฤต เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีประสบการณ์มาแล้วในการเผชิญหน้ากับปัญหานี้และได้มีการเตรียมตัวป้องกันล่วงหน้า นอกจากนี้ยังเชื่อว่าผลจากการที่ราคาข้าวโพดตกต่ำจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มีการเผาลดลง เพราะไม่มีการเผานาหรือป่าเพื่อขยายพื้นที่ปลูกข้าวโพดเหมือนในช่วงที่ผ่านมาที่ข้าวโพดมีราคาสูง