ฉะเชิงเทรา - เกิดเหตุรถบรรทุกกากสารเคมีอุตสาหกรรมคว่ำ กลางสี่แยกสัญญาณไฟเมืองแปดริ้ว ทำชาวบ้านผู้ใช้รถบนถนน หวั่นได้รับอันตรายจากผลกระทบ ขณะพ่อเมืองออกมาสั่งการให้หลายหน่วยงานเร่งเข้ามาสกัดกั้นการรั่วไหลสู่พื้นที่การเกษตรวุ่นวายทั้งเมือง สุดท้ายคนขับยังอ้างเป็นแค่น้ำเสีย ขนออกมาจากโรงงานอุตสาหกรรมที่เตรียมถูกส่งไปบำบัดเพื่อเผาทำลาย
เวลา 03.00 น.วันที่ (11 พ.ย.) ร.ต.อ.วีระพันธ์ โสมอินทร์ ร้อยเวรสอบสวน สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ได้รับแจ้งเกิดเหตุรถพ่วงบรรทุกสารเคมีประสบอุบัติเหตุพุ่งชนกับรถยนต์ส่วนบุคคลจำนวนหลายคัน ทั้งรถยนต์กระบะปิ๊กอัพ และรถยนต์เก๋ง ก่อนพลิกคว่ำจนมีสารเคมีรั่วไหล พร้อมส่งกลิ่นฉุนฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ กลางสามแยกสัญญาณไฟ “วังตะเคียน” บนถนนสายสุวินทวงศ์ (304) มีนบุรี-ฉะเชิงเทรา ตัดกับถนนสายบายพาส ฉะเชิงเทรา-บางน้ำเปรี้ยว สายเลี่ยงเมือง จึงเดินทางไปสอบสวนยังที่เกิดเหตุ
ที่เกิดเหตุพบรถยนต์กระบะวีโก้ สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน บบ-6887 ลพบุรี ถูกชนที่ด้านหน้าพังเสียหายยับเยิน จอดเกยอยู่ริมฟุตปาธ ด้านหลังพบรถยนต์เก๋งโตโยต้า สีน้ำเงิน ทะเบียน กค-5469 ฉะเชิงเทรา จอดอยู่ในสภาพด้านหน้าพังเสียหายเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ยังพบรถยนต์บรรทุกพ่วง 18 ล้อ แบบสองหางพ่วง ด้านหลังมีถังน้ำยาเคมีสเตนเลส ขนาด 15,000 ลิตร อยู่ด้านบนกระบะของหัวลาก ยี่ห้อฮีโน่ ทะเบียน 70-6425 ชลบุรี พลิกคว่ำลักษณะหงายท้องล้อชี้ฟ้ากีดขวางอยู่กลางสามแยกสัญญาณไฟจราจร ส่วนหางพ่วงมีถังสเตนเลส คาดเขียว ขนาด 25,000 ลิตร บรรทุกอยู่ด้านบน พลิกคว่ำลักษณะตะแคงข้าง บริเวณพื้นถนนโดยรอบพบสารเคมีไม่ทราบชนิด ลักษณะเป็นน้ำสีดำขุ่นข้นส่งกลิ่นฉุนแสบจมูก ฟุ้งกระจายนองอยู่ที่พื้น จนเจ้าหน้าที่ต้องใช้ผ้าปิดจมูก เข้าไปปฏิบัติงานยังบริเวณที่เกิดเหตุ และปิดกั้นการจราจรไม่ให้รถยนต์วิ่งสัญจรผ่าน ด้านฝั่งขาเข้าตัวเมืองฉะเชิงเทราทั้งสองช่องทาง โดยให้ปรับเปลี่ยนการเดินรถขาเข้า ให้รถสัญจรสวนทางผ่านด้านฝั่งขาออกแทน
จากการสอบสวน นายอรุณ ไผ่ตาแก้ว อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 132 ม.10 ต.ดงขล อ.เมือง จ.สกลนคร ซึ่งรับสารภาพเป็นคนขับ กล่าวว่า ขณะขับรถเข้าสู่สัญญาณไฟบริเวณทางแยกที่เกิดเหตุ รถของตน ซึ่งเป็นรถทางตรงเดินทางมุ่งหน้ามาจากมีนบุรี ได้รับสัญญาณไฟเขียวพอดี จึงได้เร่งเครื่องขับผ่านเส้นทางบริเวณที่เกิดเหตุ แต่ได้มีรถยนต์กระบะคันคู่กรณี ขับฝ่าสัญญาณไฟจราจรตัดหน้าเพื่อเลี้ยวขวาเข้าสู่เส้นทางสายบายพาสเลี่ยงเมืองบางน้ำเปรี้ยว จนทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น และเฉี่ยวชนรถที่ตามมาเสียหาย ส่วนคนขับรถทั้งสองคัน ได้มีผู้ให้การช่วยเหลือนำส่งไปยัง รพ.เมืองฉะเชิงเทรา
สำหรับสิ่งของที่บรรทุกมาบนรถนั้นเป็นพียงน้ำเสียจากบ่อบำบัดที่ขนมาจากโรงงานของ บริษัท เบ็ทเตอร์ ไม่ทราบเลขที่ตั้ง จากในย่านเขตจังหวัดสระบุรี เพื่อนำไปส่งเผาทำลายในโรงงานกำจัด ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู จ.สมุทรปราการ ส่วนบริษัทเจ้าของรถนั้น ทราบเพียงเป็นของบริษัท เจทีเค ทรานสปร์อด จำกัด
หลังเกิดเหตุ นายวีรวิทย์ วิวัฒนวานิช ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ได้เดินทางมาตรวจสอบยังที่เกิดเหตุ และสั่งการให้ป้องกันและทำลายสารเคมีที่รั่วไหลด้วยตนเอง เบื้องต้นยังไม่เชื่อตามคำให้การที่คนขับรถบอกเล่า โดยจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบใบอนุญาตการขนส่งกากอุตสาหกรรมอย่างละเอียด รวมทั้งผู้ติดต่อประสานงาน และเจ้าของ พร้อมทั้งได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานทหารในพื้นที่ (ช.พัน 2 รอ.) เข้าฉีดน้ำทำลายจนหมด
โดยเจ้าหน้าที่ได้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จึงสามารถเคลียร์พื้นที่เปิดเส้นทางการจราจรได้ตามปกติ พร้อมทั้งกำชับให้ทำการควบคุมตัวคนขับรถบรรทุกพ่วงสารเคมี ไปดำเนินคดีอย่างเฉียบขาดในทันที
เวลา 03.00 น.วันที่ (11 พ.ย.) ร.ต.อ.วีระพันธ์ โสมอินทร์ ร้อยเวรสอบสวน สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ได้รับแจ้งเกิดเหตุรถพ่วงบรรทุกสารเคมีประสบอุบัติเหตุพุ่งชนกับรถยนต์ส่วนบุคคลจำนวนหลายคัน ทั้งรถยนต์กระบะปิ๊กอัพ และรถยนต์เก๋ง ก่อนพลิกคว่ำจนมีสารเคมีรั่วไหล พร้อมส่งกลิ่นฉุนฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ กลางสามแยกสัญญาณไฟ “วังตะเคียน” บนถนนสายสุวินทวงศ์ (304) มีนบุรี-ฉะเชิงเทรา ตัดกับถนนสายบายพาส ฉะเชิงเทรา-บางน้ำเปรี้ยว สายเลี่ยงเมือง จึงเดินทางไปสอบสวนยังที่เกิดเหตุ
ที่เกิดเหตุพบรถยนต์กระบะวีโก้ สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน บบ-6887 ลพบุรี ถูกชนที่ด้านหน้าพังเสียหายยับเยิน จอดเกยอยู่ริมฟุตปาธ ด้านหลังพบรถยนต์เก๋งโตโยต้า สีน้ำเงิน ทะเบียน กค-5469 ฉะเชิงเทรา จอดอยู่ในสภาพด้านหน้าพังเสียหายเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ยังพบรถยนต์บรรทุกพ่วง 18 ล้อ แบบสองหางพ่วง ด้านหลังมีถังน้ำยาเคมีสเตนเลส ขนาด 15,000 ลิตร อยู่ด้านบนกระบะของหัวลาก ยี่ห้อฮีโน่ ทะเบียน 70-6425 ชลบุรี พลิกคว่ำลักษณะหงายท้องล้อชี้ฟ้ากีดขวางอยู่กลางสามแยกสัญญาณไฟจราจร ส่วนหางพ่วงมีถังสเตนเลส คาดเขียว ขนาด 25,000 ลิตร บรรทุกอยู่ด้านบน พลิกคว่ำลักษณะตะแคงข้าง บริเวณพื้นถนนโดยรอบพบสารเคมีไม่ทราบชนิด ลักษณะเป็นน้ำสีดำขุ่นข้นส่งกลิ่นฉุนแสบจมูก ฟุ้งกระจายนองอยู่ที่พื้น จนเจ้าหน้าที่ต้องใช้ผ้าปิดจมูก เข้าไปปฏิบัติงานยังบริเวณที่เกิดเหตุ และปิดกั้นการจราจรไม่ให้รถยนต์วิ่งสัญจรผ่าน ด้านฝั่งขาเข้าตัวเมืองฉะเชิงเทราทั้งสองช่องทาง โดยให้ปรับเปลี่ยนการเดินรถขาเข้า ให้รถสัญจรสวนทางผ่านด้านฝั่งขาออกแทน
จากการสอบสวน นายอรุณ ไผ่ตาแก้ว อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 132 ม.10 ต.ดงขล อ.เมือง จ.สกลนคร ซึ่งรับสารภาพเป็นคนขับ กล่าวว่า ขณะขับรถเข้าสู่สัญญาณไฟบริเวณทางแยกที่เกิดเหตุ รถของตน ซึ่งเป็นรถทางตรงเดินทางมุ่งหน้ามาจากมีนบุรี ได้รับสัญญาณไฟเขียวพอดี จึงได้เร่งเครื่องขับผ่านเส้นทางบริเวณที่เกิดเหตุ แต่ได้มีรถยนต์กระบะคันคู่กรณี ขับฝ่าสัญญาณไฟจราจรตัดหน้าเพื่อเลี้ยวขวาเข้าสู่เส้นทางสายบายพาสเลี่ยงเมืองบางน้ำเปรี้ยว จนทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น และเฉี่ยวชนรถที่ตามมาเสียหาย ส่วนคนขับรถทั้งสองคัน ได้มีผู้ให้การช่วยเหลือนำส่งไปยัง รพ.เมืองฉะเชิงเทรา
สำหรับสิ่งของที่บรรทุกมาบนรถนั้นเป็นพียงน้ำเสียจากบ่อบำบัดที่ขนมาจากโรงงานของ บริษัท เบ็ทเตอร์ ไม่ทราบเลขที่ตั้ง จากในย่านเขตจังหวัดสระบุรี เพื่อนำไปส่งเผาทำลายในโรงงานกำจัด ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู จ.สมุทรปราการ ส่วนบริษัทเจ้าของรถนั้น ทราบเพียงเป็นของบริษัท เจทีเค ทรานสปร์อด จำกัด
หลังเกิดเหตุ นายวีรวิทย์ วิวัฒนวานิช ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ได้เดินทางมาตรวจสอบยังที่เกิดเหตุ และสั่งการให้ป้องกันและทำลายสารเคมีที่รั่วไหลด้วยตนเอง เบื้องต้นยังไม่เชื่อตามคำให้การที่คนขับรถบอกเล่า โดยจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบใบอนุญาตการขนส่งกากอุตสาหกรรมอย่างละเอียด รวมทั้งผู้ติดต่อประสานงาน และเจ้าของ พร้อมทั้งได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานทหารในพื้นที่ (ช.พัน 2 รอ.) เข้าฉีดน้ำทำลายจนหมด
โดยเจ้าหน้าที่ได้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จึงสามารถเคลียร์พื้นที่เปิดเส้นทางการจราจรได้ตามปกติ พร้อมทั้งกำชับให้ทำการควบคุมตัวคนขับรถบรรทุกพ่วงสารเคมี ไปดำเนินคดีอย่างเฉียบขาดในทันที