เลย- ชาวบ้านน้ำคิว อำเภอเมืองเลย โอดรายได้ไม่พอจ่าย เหตุยางพาราพืชเศรษฐกิจใหม่พ่นพิษ ราคาทรุดจากที่เคยขายได้มากกว่า 100 บาท/กิโลกรัม ล่าสุด เหลือไม่ถึง 50 บาท/กิโลกรัม หวั่นไม่พอจ่ายค่างวดรถกระบะ ชี้หากสถานการณ์ราคาไม่ดีขึ้น อีก 4 เดือนรถยนต์ถูกยึดแน่ ร้องรัฐเร่งโครงการประกันราคายาง แนะ 70 บาท/กิโลกรัมชาวบ้านอยู่ได้
สถานการณ์ราคายางพาราเกิดความผันผวนในระยะ 2-3 เดือนที่ผ่านมา โดยราคายางในตลาดโลกและราคาในประเทศตกลงจาก 100 กว่าบาท/กิโลกรัม ล่าสุด ปรับลดเหลือเพียงกิโลกรัมละ 45-50 บาทเท่านั้น ทำให้เกษตรกรในหลายๆ พื้นที่ที่ปลูกยางพาราในจังหวัดเลย ได้รับความเดือดร้อนจากราคายางตกต่ำ โดยเฉพาะพื้นที่บ้านน้ำคิว หมู่ 5 ต.เสี้ยว อ.เมือง จ.เลย เป็นพื้นที่ปลูกยางหลักของ จ.เลย มีเกษตรกรได้รับความเดือดร้อนจากราคายางตกต่ำจำนวนมาก
นางคำพัน แก้วกัณหา หนึ่งในเกษตรกรปลูกยางพารา ชาวบ้านน้ำคิว ต.เสี้ยว อ.เมือง จ.เลย กล่าวว่า หลังจากราคายางตกต่ำ กระทบต่อครอบครัวสูงมาก ภาระค่าใช้จ่ายทุกอย่าง มาจากรายได้จากการขายยางพาราเท่านั้น เมื่อราคายางตกต่ำทำให้ครอบครัวเดือดร้อนมาก โดยต้องมีภาระค่าใช้จ่าย ผ่อนชำระรถยนต์ที่เพิ่งซื้อเมื่อปีที่ผ่านมา
“ช่วงที่ราคายางดี สามารถขายยางได้สูงมากกว่า 100 บาท/กิโลกรัม เงิดสะพัดคล่องตัว จึงใช้จ่ายสูงมาก ทั้งดาวน์รถยนต์ใหม่ ที่มีราคาสูงกว่า 700,000 บาท ขณะนั้นไม่คิดว่าราคายางจะตกต่ำ เชื่อมั่นว่าราคายางน่าจะดีตลอดไป แต่ที่สุดราคายางก็ตกลงเหลือไม่ถึง 50 บาท/กิโลกรัมแล้ว หากราคายางเป็นเช่นนี้ไปอีกสัก 3-4 เดือน คงต้องให้บริษัทรถมายึดรถคืนแน่” นางคำพัน กล่าวและว่า
สถานการณ์ล่าสุดของชาวบ้านน้ำคิว จะหาเงินมาส่งค่างวดรถยนต์ก็แทบไม่มีแล้ว เนื่องจากไม่มียางจะขาย อีกทั้งราคายางตกต่ำมาก ปัญหาความเดือดร้อนดังกล่าว อยากให้รัฐบาลมาให้ความช่วยเหลือ ควรมีมาตรการพยุงราคายาง ขั้นต่ำที่ 70 บาท/กิโลกรัม น่าจะเป็นราคาที่ทำให้ชาวสวนยางที่บ้านน้ำคิวอยู่ได้
ด้าน นายทวี ฟองอ่อน อายุ 47 ปี ชาวบ้านน้ำคิว กล่าวว่า ครอบครัวตนมีรายได้หลักจากปลูกยางพาราแปรรูปยางแผ่นจำหน่าย สร้างรายได้ให้ครอบครัวมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีรายได้ ได้นำไปซื้อรถยนต์ โดยการดาวน์และผ่อน 60 งวด โดยวงเงินดาวน์ไว้ที่ 150,000 บาท และผ่อนเดือนละ 8,000-9,000 บาท/เดือน ปัจจุบันส่งค่างวดรถยนต์ได้ 2 ปีแล้ว
แต่มีภาระต้องส่งงวดรถยนต์อีกถึง 3 ปี จึงจะหมดภาระ ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ ทำให้รายได้ไม่พอใช้จ่ายในครอบครัว ทำให้ครอบครัวของตนต้องคิดหนัก มีคุณภาพชีวิตต่ำ หากราคายางเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็ไม่รู้ว่าจะแบกภาระผ่อนงวดรถได้หรือไม่
ทั้งนี้ พื้นที่บ้านน้ำคิว หมู่ที่ 5 ต.เสียว อ.เมือง จ.เลย ถือเป็นพื้นที่ปลูกยางพาราที่สำคัญของจังหวัด โดยมีบ้านเรือนทั้งหมด 180 ครัวเรือน มีประชากร 850 คน ทุกครอบครัวมีสวนยางพารา พื้นที่ปลูกยางทั้งหมดประมาณ 7,000 ไร่ และกรีดยางได้ 2,000 ไร่ เริ่มปลูกยางมาตั้งแต่ ปี 2533
สำหรับการปลูกยางพาราของชาวบ้านน้ำคิว เป็นพื้นที่ต้นแบบที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ส่งเสริมให้ชาวอีสานปลูกยางพารา และเป็นพื้นที่ที่ประสบผลสำเร็จในการแปรรูปยางพาราแผ่น เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในจังหวัดเลยสูงมาก โดยเฉพาะเมื่อปี 2547 เป็นต้นมานั้น ราคายางในประเทศสูงเป็นประวัติการณ์ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 90-100 บาท ชาวบ้านน้ำคิวมีรายได้จากยางพารา ส่งผลดีต่อธุรกิจเกี่ยวเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจค้ารถยนต์ มีการขยายด้านยอดขายสูงมาก
ชาวบ้านน้ำคิว ที่ขายยางพาราได้แล้ว มักจะนำเงินไปซื้อรถยนต์ไว้ครอบครอง อย่างน้อยครัวเรือนละ 1 คัน หรือบางครัวเรือนที่ปลูกยางพาราจำนวนมาก อาจซื้อรถยนต์ไว้มากกว่าหนึ่งคัน ให้กับหัวหน้าครอบครัว ลูกชาย หรือลูกสาว ทำให้ธุรกิจค้ารถยนต์จังหวัดเลยในช่วงปี 2547-2549 ขยายตัวเพิ่มหลายเท่าตัว โดยลักษณะการซื้อรถยนต์มากกว่า 95% เป็นการซื้อด้วยเงินดาวน์ ผ่อนระยะยาวมากกว่า 60-72 งวด
เมื่อเกิดปัญหาราคายางพาราตกต่ำในตลาดโลก ทำให้รายได้จากการขายยางพาราของชาวบ้านน้ำคิว ไม่พอใช้จ่าย โดยเฉพาะภาระผูกพันการผ่อนชำระค่างวดรถยนต์ ซึ่งชาวบ้านน้ำคิวต้องผ่อนระยะยาวถึง 60-72 เดือน ถือเป็นบทเรียนราคาแพง ที่เกษตรกรชาวสวนยางอีสานจะต้องตระหนัก ซึ่งในอนาคตจะมียางพาราที่กำลังจะให้ผลผลิตอีกมากในภาคอีสาน